ขุนเขาวัดใจ ต้องไปพะติโด่

วันที่เขียน 09/10/2019
ยอดเข้าชม

84

ขุนเขาวัดใจ ต้องไปพะติโด่

วันที่เขียน

09/10/2019

ยอดเข้าชม

84

ขุนเขาวัดใจ ต้องไปพะติโด่    

  • Pin: พะติโด่
  • Trip: ทริปยอดมนุษย์: ตอน ไต่ระห่ำ คว่ำทุกช็อต
  • Road trip: เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน
  • Travel Cost: กลุ่ม 3 คน คนละ 1690 บาท
  • Detail: รีวิวการเดินป่าพิชิตยอดดอยพะติโด่ โอ้โห คลานดีกว่า

ดอยพะติโด่ หรือ ดอยลุงใหญ่ เป็นดอยที่เงียบสงบ สยบทุกราย เป็นขุนเขาที่มีสลับซับซ้อน ลึกลับ และน่าค้นหา มีความเป็นธรรมชาติอยู่มาก ไม่วุ่นวาย ไม่มีร้านค้าหรือพื้นที่ทำธุรกิจใดๆ อยู่ในพื้นที่ที่เป็นรอยต่อของจังหวัดเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นตาดอยนี้กันสักเท่าไหร่ แต่ถ้าพูดถึงดอยหมื่อก่าโด่ หรือ ดอยป้าใหญ่ อาจจะเคยได้เห็นได้ยินมากันบ้าง แต่ถ้าจะให้ไปเยือนทั้งทีควรไปทั้งสองดอยเลย สำหรับใครที่ชอบเดินป่าน่าจะชื่นชอบเส้นทางธรรมชาติเส้นพะติโด่ที่ลื่นลากหิน ลากดิน ลากตัวลงไปคลุกฝุ่นอย่างไม่ทันได้ทำใจ ไม่มีเชือก ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน จะโหด มันส์ ฮา น้ำตาเล็ด แค่ไหน มาดูกัน!!.. 

การเดินทางครั้งนี้เราออกจากจังหวัดเชียงใหม่ มุ่งสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอนโดยไปเส้นดอยอินทนนท์ เพื่อไปยังศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปางอุ๋ง ตามที่ได้นัดแนะกับคนนำทางไว้  

ระหว่างทางสวยมาก หมอกที่นี่หาดูได้ง่ายมากๆ ไม่จำเป็นต้องไปให้ถึงบนยอดดอย  

ผ่านไปร้อยกว่ากิโลเมตร ม้าสีหมอกคู่ใจก็พาเรามาถึง ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงปางอุ๋ง ซึ่งอยู่ในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ (GPS: 18.791197, 98.159264)  

ได้เวลาเปลี่ยนรถเพื่อความเหมาะสมของพื้นถนน  

โดยเราจะต้องนั่งรถกะบะเข้าไปยังหมู่บ้าน เพื่อไปยังจุดเดินขึ้นดอยพะติโด่ ถนนหนทางก็ตอนแรกก็เป็นลาดยัง สักพักก็เป็นลาดชัน ลูกรังมาเต็ม ต้องขับรถฝ่าสายน้ำลำธารด้วยแหนะ ผจญภัยดี ข้างทางก็มีภูเขาลูกเล็กลูกใหญ่เป็นวิวทิวทัศน์สวยงามให้ถ่ายรูปกันไป ดอกไม้ข้างทางก็เยอะ ดอกคริสมาสต์เอย บัวตองเอย แต่อากาศร้อนมาก ร้อนจนอยากจะหายตัวไปจากจุดๆนี้ ทางลูกรังเป็นดินร่วน ผสมดินแข็ง ดังนั้นฝุ่นจึงเยอะพอสมควร ถึงมากเลยแหละ แนะนำให้หาผ้าโพกหน้าโพกหัวมาด้วย  

ผ่านไปร่วมชั่วโมงเศษ ด้วยระยะเกือบ 10 กิโลเมตรจากปางอุ๋ง เราก็มาถึงสวนของชาวบ้าน ที่จะเป็นเส้นทางมุ่งสู่ดอยพะติโด่  

เอาล่ะ พร้อมแล้วก็ไปกันเลย  

ในระยะเริ่มต้นจะเป็นป่ารกชัด เป็นทางชันที่ไม่ชันเท่าไหร่ แต่เดินแล้วเหนื่อยมาก ก็เพราะว่าตามพื้นดินถูกปลกคลุมด้วยใบไม้เต็มไปหมด ใบไม้เยอะมาก ทำให้ถ่วงแรงให้การเดิน บางครั้งเหยียบไปลื่นไป ระวังมดป่าด้วย บางจุดมดป่าเดินเป็นแนวยาวตามทางเลย จากเดินป่าก็ต้องกลายเป็นวิ่งป่ากันเลยทีเดียว เพราะว่าถ้าเดินช้าคงได้โดนมดรุมกิน ไม่อยากจะคิดสภาพตอนมดเข้าไปในรองเท้าแล้วตะลุมบอนชอนไช (นึกภาพตามออกใช่มะ 55) นั่นแหละนะ มดตัวใหญ่มากด้วย วิ่งนั่นแหละดีที่สุด เหนื่อยก็ยอม แค่ 200 เมตรกว่าๆ ก็พ้นถิ่นมดป่าแล้ว  

ป่าแห่งนี้นอกจากจะรกชัดแล้ว ทางเดินยังไม่ค่อยชัดเจนอีก ใบไม้ก็ไม่รู้จะร่วงปิดทางเดินไปไหน ถ้าเดินเองนี่หลงแน่ๆ ทางก็ยังคงชันต่อไป ไม่ค่อยมีแดดตกกระทบ เพราะป่าปิดมาก ส่งผลทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าว  

ไม่นานนักเราก็เดินมาถึงทางแยกระหว่าง หมื่อก่าโด-พะติโด่  

พะติโด่เลี้ยวซ้าย หมื่อก่าโด่เลี้ยวซ้าย  

สวัสดีวันฟ้าเปิด หลุดออกจากดงป่าปิดแล้ว แสงแดดชัดเจนมาก แผดเอากันเข้าไปอีก  

เส้นทางเดินก็จะเป็นเนินดินทราย ผสมกับหินลักษณะแบบนี้  

ระหว่างทาง เราต้องเรียกลมปราณมาประทับร่าง (สีสด ไม่ใช่อะไร คนละกล้อง 55) 

มองเห็นแหลมคมชัตเตอร์ เหยียบแล้วหักง่ายอยู่ไกลๆ  

เดินบนสันหินต่อไป ถ้าถไลลื่นมีร่วงสู่ความเวิ้งว้างอันไกลพ้น ไม่ทันได้เจ็บแน่ๆ  

ไหนสันคมมีดคัตเตอร์ VS สันหินสักหน่อย  หินที่แข็งแกร่งสู้กับคมสันเขาที่เปราะบาง  

ไม่นานเราก็เดินมาถึงจุดกางเต็นท์  

อ้าวเฮ่ยยย!! เจอผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งนี่หว่า ไม่เหงาแล้วทริปนี้ ดังนั้น ณ จุดๆนี้ ก็จะมีแค่ 2 กลุ่มไม่ใหญ่ ที่ครอบครองพื้นที่แห่งนี้ 555  

สวัสดีขุนเขาวัดใจ เดินไม่ไกลอย่างที่คิด แล้วเราจะไปพิชิตยอดกัน  

สำหรับการเดินป่าจากจุดเริ่มต้นมาจนถึงจุดกางเต็นท์นั้นใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆก็ถึงแล้ว เหนื่อยแค่ช่วงแรก หลังๆก็ไปสบาย (เดี๋ยวๆๆ) ไหนๆ ใครว่าดอยนี้ยาก ก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่เลย เดินแปบๆก็ถึง (ยังไม่รู้สึกตัว)

และก็มารู้ทีหลังว่าต้องเดินไปปีนขึ้นยอดดอยพะติโด่นะ ไอตรงที่เป็นสันเขาบางกริบนั่นน่ะ เดี๋ยว 3 โมงก็ออกเดินไปกันต่อนะ  

โอเค ร่างกายจงแข็งแรง  

ดูจากตรงนี้ไม่ไกลเลยนะ ทำไมต้องเดินไปตอน 3 โมงเนี่ย เดินไป 4-5 โมงไม่ได้เหรอ งั้นมาดูกัน  

ระยะทางเริ่มต้นจากจุดกางเต็นท์ไปยังยอดสูงสุดของดอยพะติโด่ 

ก็เดินชิวๆนี่ วิ่งยังได้เลย พื้นราบ ทางร่ม ปกติดี  

และแล้วความจริง(แค่เริ่มต้น) ก็มาเยือน เราต้องเดินไปตามทางชันที่เป็นดินร่วน มือเกาะหญ้า(ที่ไม่รู้จะหลุดติดมือมาเมื่อไหร่) เท้าจิกดิน ขึ้นไปเรื่อยๆ ก็คิดในใจว่าเดี๋ยวไม่กี่เมตรก็คงจะสุดทาง ก็เลยหันไปถามพี่นำทางว่า ทางจะเป็นแบบนี้จนถึงเมื่อไหร่ พี่เขาก็บอกว่าสุดดอยลูกนี้เลย  

อะไรนะสุดดอยลูกนี้เลย…….อะไรนะสุดดอยลูกนี้เลย…….อะไรนะสุดดอยลูกนี้เลย…….

อาเมน เข็นตัวเองขึ้นไปต่อ..  

เฮ่ยยย!! พวกเรามาถึงจุดที่ยืนได้แล้ว  

อ้าวเฮ่ยยย!! ยืนได้แปบเดียวไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า  

และแล้วพวกเราจากคนเดินป่า ก็กลายเป็นคนคลานป่ากันโดยสมบูรณ์ สำหรับคนที่ตัวที่ตัวเตี้ย หรือเรียกสุภาพๆว่าตัวเล็กก็ต้องลำบากนิดหนึ่ง ไม่นิดแหละ ก็มากนิดหนึ่ง เพราะช่วงแต่ละช่วงที่ต้องย่างขาคลานขึ้นไป ต้องอาศัยใช้มือเกาะเกี่ยวดึงพงหญ้าที่บาดมือคุณสมบัติคล้ายตะไคร้ พะยุงตัวเองขึ้นไปตามทางที่ลาดชัน ซึ่งจุกหญ้าแต่ละจุดอยู่ใกล้กันบ้าง ห่างกันบ้าง ก็ต้องจิกดินกันต่อไป  

แนะนำให้พกถุงมือมาด้วย เพราะเราพลาดเองที่ไม่รู้ว่าจะต้องใช้มือระทมขนาดนี้ 555

และแล้วพวกเราก็คลานขึ้นมาจนถึงยอดดอย (แค่ส่วนหนึ่งของดอยทั้งหมด) ขอถ่ายภาพเพื่อความประทับใจหน่อย 

มีอารมณ์ร่วมกันมาก ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆในลึกซึ้ง 555

นักรบย่อมมีบาดแผล  

สู้ต่อไป ทาเคชิไม่ได้มาด้วย  

เส้นทางต่อจากนี้ก็พอเดิน 2 ขาได้ แต่เป็นสันเขา ทางเดินแคบ พื้นดินเป็นดินร่วน ผสมหินทราย หินเล็ก กรวดน้อย และกระจุกหญ้าที่มีความเหนียวแน่นมาก โปรดระมัดระวังในการเดิน  

อีกไกลไหมพี่?..

ไม่ไกลเลย เขาลูกโน้นนนนนนนนนน!! เอง  

โอเค ไปต่อ ท้อได้ แต่ไม่ถอย  

อะ อะ อ้าวววว!! เจอทางแบบนี้ถอยได้ไหมเนี่ย  

รู้ซึ้งถึงคำว่า กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง เหมือนมีอะไรที่ดึง ไม่ให้เราเลือกทางใด เลยล่ะ 555  เพราะว่าเส้นทางเดินป่าของคุณจะเปลี่ยนไป เนื่องจากยอดดอยนี้มีความชันที่ต้องไต่ระห่ำแทบจะคลานขึ้น(จริงๆก็คลานนั่นแหละ) เดินสองเท้าไม่ต้องพูดถึงงานนี้สี่ตีนเดินมาทำหัวผลุบๆโผล่ๆ (เดี๋ยวๆนั่นมันเต่าแล้ว 555)  แต่ถ้าให้เปรียบเป็นเต่าก็คงใช่ เพราะต้องเคลื่อนที่ไปด้วยวิธีการโผอย่างเชื่องช้า เดินสี่ขาเกาะทุกอย่างที่เกาะได้ เนื่องจากการปีนขึ้นยอดดอยค่อนข้างชัน ถึงชันมาก เรียกได้ระหว่างทางได้ชมวิวขนานฟ้ากันเลยทีเดียว  

Good bye see you to next trip ได้ไหมล่ะ ปล่อยมือได้ไหม จะตายดีไหมเอ่ย หรือไม่ตายดีหว่า สุดท้ายก็ชนะใจตัวเอง ตายไม่ได้เว้ยยยยยยยยย กลัวตาย 5555 (แล้วที่เดินทางมาขนาดนี้คืออะไร?)  

เอาจริงๆนะตอนนั้นล่ะก็ท้อมากเลยแหละ สำหรับคนเดินป่าครั้งแรก แม้ว่าดอยนี้ไม่ใช่ดอยแรก แต่มันก็อยู่ในทริปแรกของเรา (ทริปยอดมนุษย์ยังไม่ได้เขียน) เพราะดอยนี้เป็นดอยที่ 3 หลังจาก ไปตะลุย สันหนอกวัว ดอยหลวง เชียงดาว แล้วก็มาดอยพะติโด่นี้ต่อ ขึ้นลงเขาติดๆกัน 4 วัน 3 ดอย สกิลจาก 0 แล้วก็กระโดดอัพเลเวลเฉย 555 ไม่ได้เก่งหรอก แต่ไม่ลองไม่รู้ใช่ไหมล่ะ ไงล่ะ ตอนนี้รู้ซึ้งแล้ว กราบดอย...  

จากเวลา 5 โมงครึ่ง จนถึงเกือบๆ 2 ทุ่ม เราก็คลานทาง เอ้ยยย!! เดินทางกันลงมาถึงจุดกางเต็นท์ แม้จะเล่นสไลเดอร์ไปหน่อย จริงๆแล้วอาจจะชมนกชมไม้ก็ได้ (เหรออออ??) 55 เพื่อความปลอดภัย ย่องเบา เต่าตะกายผาเข้าไว้ แล้วจะกลับลงมาสู่พื้นราบโดยสวัสดิภาพ  

สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์เดินป่ามาบ้าง หรือบ่อย ก็มักจะจดจำดอยนี้ถึงเรื่องความเสียวไส้ ไต่ระห่ำ ชันดิก ไม่มีใครบอกว่าง่าย แต่ก็ไม่ได้ถือว่ายากเกินไป สำหรับมือใหม่ตั้งไข่หัดเดินอย่างเราก็คงต้องขอคว่ำทุกช็อตต่อไป เนื่องจากตัวเตี้ย ปีนเขาแต่ช่วงช่างไกลขาเหลือเกิน  

อันตรายไหม?..

ก็คงต้องตอบว่าค่อนข้างอันตราย เนื่องจากว่าการปีนขึ้นยอดดอยพะติโด่นั้น ไม่มีเชือก ไม่มีสลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน เจ็บเอง ตายเองได้ ใจสู้หรือปล่าว ไหวให้ตามมา.. โอกาสที่จะท้อนั้นมีง่ายมาก ด้วยความยากในการปีนป่าย ใช้เวลานานพอสมควร จะให้หยุดแล้วหันหลังไต่ลงไปก็ยากอีก  

ก่อนถึงยอดดอย จะเห็นแสงพระอาทิตย์รำไร ตัดขอบภูเขา สวยงามมาก  

สภาพแต่ละคน  

อ้าวเฮ่ยยย!! เรามาถึงจุดเดิน 2 ขากันแล้วนี่หว่า  

บนยอดดอยพะติโด่ ถูกปกคลุมด้วยหญ้า และหญ้าทั้งหมด ใครหิวก็เด็ดกินได้เลย 555 มีหนามบ้างบางจุด พอให้กรุบกริบคอ  

จากดอยพะติโด่ จะมองเห็นยอดดอยหมื่อก่าโด่ ทางโน้นนนน!! และวิวทางโน้น ก็จะต้องเห็นพะติโด่ทางนี้แน่นนอน  

ทำไมถึงเลือกขึ้นดอยพะติโด่ เพราะถามพี่เขาแล้วระหว่างพะติโด่ กับ หมื่อก่าโด่ อันไหนยากกว่ากัน พี่เขาบอกว่า พะติโด่ ด้วยความถ้าไม่ยากเราไม่นอนจึงมาโผล่กันที่ พะติโด่ โอ้โห ยอมแล้วจ้าาาาา 555

ถึงแล้ววุ้ยยยยยยยยย!!..  

แต่คิดว่าความยากหรือความง่าย ขึ้นอยู่กับความคิดส่วนบุคคล ดอยหนึ่งอาจจะง่ายสำหรับคนนี้ อีกดอยหนึ่งอาจจะยากสำหรับคนนั้น แต่สำหรับเรา มันก็ยากนะ ขุนเขาวัดใจจริงๆ แต่ก็คิดว่าต้องมีที่ยากกว่านี้แหละ เอาเป็นว่าไปลองให้รู้ก่อน ไปให้ถึง แล้วจะรู้ว่าเขาเล่าว่า… และความรู้สึกตอนเราพิชิตลูกใดลูกหนึ่งมันเป็นเช่นไร  อยากให้ทุกคนก้าวออกไปพิสูจน์ (ระมัดระวังตัวเอง และทำประกันด้วย) 5555

พักเอาแรงแปบ  

ยินดีที่ได้รู้จัก หมื่อก่าโด่ ป้าใหญ่ช่างอยู่ไกลเหลือเกิน (ไว้เจอกันครั้งหน้า) เราจะกลับมาอีกครั้ง  

ภาพที่ระทึก ทริปยอดมนุษย์ สุดยอดเขาพะติโด่ (เหลือ 3 คนแล้วเฉย) 555

แล้วมันจะผ่านไปด้วยดี (มือของข้า) 

วิวรอบๆคือคำตอบที่ต้องการหรือไม่…. สำหรับใครที่ชื่นชอบความงามของของธรรมชาติ ภูเขา แสงอาทิตย์ ที่นี่อาจจะไม่ตอบโจทย์สักเท่าไหร่ เพราะไม่ใช่ที่ที่พระอาทิตย์ตกดินจะสวยดูแล้วดื่มด่ำฉ่ำตาเหมือนที่ไหนๆ ภูเขาออกจะดิบๆ มีความเป็นธรรมชาติที่ไม่ออกลวดลายร้องว้าว!! ไม่มีป้ายสวยงามให้ชักภาพว่ามาถึงแล้ว แต่ภูเขาลูกนี้ ดอยนี้ เหมาะสำหรับนักเดินทางที่ต้องมาเพื่อพิชิตใจตัวเอง ให้ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ก้าวขึ้นมาให้ถึง  

ระหว่างทางคุณอาจจะทำให้คุณนึกถึงเรื่องราวหลายๆอย่างที่ประดังประเดเข้ามาในชีวิต คุณมาทำอะไรที่นี้ เพราะการเดินทางคือการเรียนรู้ ภูเขาอยู่ที่ใจ พิชิตได้ไหมอยู่ที่คุณ  

อากาศข้างบนเย็นมาก และไม่มีใครที่จะอยู่รอดูพระอาทิตย์ตกดิน เพราะดูทรงแล้วแค่แสงรำไรก็พอ ถ้ามืดก็นี้คงไต่ลงเขาลำบาก เพราะขาขึ้นว่ายากแล้ว ขาลงนั้นยากกว่า เลิฟยูนะ พะติโด่!!  

เสียวจัง แม่เจ้าโว๊ยยยย.. นอนบนนี้เลยได้ไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าปีนลง  

(รูปนี้ไม่ได้ถ่ายต่อ เดี๋ยวหน้าคว่ำ สมคำร่ำลือจริงๆ ขาขั้นว่ายากแล้ว ขาลงนี่ยากกว่า)

การไต่เขาลงเป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะทางชันมาก แล้วหินแต่ช่วงที่ต้องเหยียบก็อยู่ห่างกัน ขาสั้นนี่มีปัญหาเยอะเลยทีเดียว หย่อนขาลงไปแล้วหาที่เหยียบไม่ได้เนี่ย มือต้องห้อยต่องแต่งอยู่บนนั้นจนกว่าจะหาเจอ ควรฟิตกำลังแขน กำลังขาไว้ให้ดี ไม่งั้นแขนขาล้าหมดแรงนี่มีร่วงเอาได้ง่ายๆแน่ๆ  

ตอนนั้นก็ถามพี่ๆ ข้างล่างลึกไหม (เผื่อตกลงไหม จะได้รู้ตัว 55) พี่เขาเลยโยนหินเป็นคำตอบ กึกๆ กะลึก กึก กักกๆๆๆๆ โอเคชันเจน ซาวด์ เอฟเฟกต์ไกลมาก ค่อยๆไต่ลงเขาต่อไปละกัน  


ในการปีนเขาที่นี่ควรพกถุงมือ และไฟฉายให้พร้อม เพราะสำคัญมาก แล้วในการไต่ลงเขาให้ไต่ลงอย่างระมัดระวังถ้าเป็นคนตามหลัง เพราะอาจจะทำให้หินกลิ้งไถล ตกลงไปใส่หัวคนข้างหน้าได้ เพราะด้วยภูมิศาสตร์ที่เป็นสันเขา หินร่วน ดินทราย ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เวลาไต่ลงเขาก็อย่าโน้มตัวลงไปข้างหน้ามากนัก ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้ตีลังกาลงเขาไปได้ แรงโน้มถ่วงจะหน่วงตัวเราไปข้างหน้า ทางนี้ที่ดีหันหลังลงแล้วเอามือเกาะหินข้างหน้า แล้วเอาขาไต่ลงมาเรือยๆดีกว่า ละให้เพื่อนระวังหลังให้ ส่วนคนหน้าสุด ก็ต้องระวังตัวเองกันต่อไป 55 ในการไต่ลงเขานั้น ใช้ไฟได้ในระยะพื้นดิน อย่าส่องไปข้างหน้า บนฟ้า หรือตามต้นไม้ เพราะมีตัวต่ออยู่เยอะ เมื่อกระทบแสงไฟ อาจทำให้ค่ำคืนนั้นหรรษาก็เป็นได้  

จากเวลา 5 โมงครึ่ง จนถึงเกือบๆ 2 ครึ่ง เราก็คลานทาง เอ้ยยยย!! เดินทางกันมาจนถึงจุดกางเต็นท์ หลังจากที่เล่นสไลเดอร์กันไปบ้าง จริงๆแล้วอาจจะชมนกชมไม้ก็เป็นได้ (เหรออออ??) เพื่อความปลอดภัย ย่องเบา เป็นเต่าตะกายภูเขาเข้าไว้ แล้วจะทำให้กลับสู่ภาคพื้นราบโดยสวัสดิภาพ แม้ว่าจะต้องเคลื่อนที่ไปด้วยวิธีการโผ 555

ตัดภาพไปที่สุกี้ ชีวิตดี๊ดี ยังแฮปปี้กับของกินได้อีก...  

เช้าที่สดใส... แดดจ้า ตื่นสาย!!! 555 หมอกอำลาไปไหนหมดแล้วไม่รู้ เห็นแต่ควันจางๆอยู่ไกลโพ้น  

ทางนุ้นก็มีหมอก อยู่ไกลๆเช่นกัน เอาเป็นว่าทุกทิศมีหมอก แต่อยู่อย่างห่างๆ อย่างห่วงๆ 55

สวัสดี พะติโด่ เช้านี้ขอเจอกัน ณ จุดกางเต็นท์ละกัน  

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง  

อ้าววววว.. มาม่าเฉย 555  

อำลากันเพียงเท่านี้.. ขุนเขาวัดใจ ไต่ระห่ำ คว่ำหิน บินสไลเดอร์ 555  

แล้วเจอกันคู่ใหม่... รองเท้า  

มีพบ มีจาก มีแดด ก็ต้องมีหมวก เย่!! ปิ๊กบ้านเฮาเต๊อะ..  

สำหรับการเดินทางกลับใช้เวลาเพียง 40 นาที เราก็ถึงภาคพื้นสวนแล้ว.. 

เบื้องหลังการถ่ายทำ 555  

แดดที่นี่แรงมาก แนะนำให้พกแว่นกันแดดมาด้วย (จิ๊กของคนอื่นมา..)  

เดินกลับมาที่นี่ไม่ยากเลย แค่กระโดดลงเขาก็ถึงแล้ว  

ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดี ที่หิ้วพาพวกเรากลับไปด้วย  

ร้อนมากๆ เอาแอร์มาแลกก็ยอม 555   

สู่ความแห้งแล้งกันอันไกลโพ้น..  

ขอบคุณผู้ร่วมทาง โย่ววววแมนน!!

 

หมายเหตุ

  1. ก่อไฟได้
  2. มีแหล่งน้ำด้านบน
  3. คนนำทางและลูกหาบ คนละ 500 บาท ต่อวัน
  4. ค่ารถ 4x4 ไปกลับ 1500 บาท
  5. เที่ยวเสร็จแล้ว ขอให้อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายป่าไม้ และเก็บขยะลงมาด้วย
  6. ระมัดระวังตัวเองในการท่องเที่ยวอยู่เสมอ ป้องกันดีกว่าแก้ไข

 ขอให้มีความสุขกับการเดินทาง..  

เรียบเรียงโดย PinTrip

09/10/2019

ไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยว.. ของคนรุ่นใหม่

สิ่งที่เราอยากแนะนำ