จังหวัดที่มีภูเขาสวย ๆ และทะเลสงบ ๆ รวมอยู่ด้วยกันแบบลงตัว ผมขอยกให้ “ประจวบคีรีขันธ์” เป็นหนึ่งในลิสต์เลย
สายปั่นจักรยานอย่างผม จึงขอเริ่มความชิลล์ด้วยการปั่นจักรยานเลียบทะเลให้สมกับฉายาเมือง 3 อ่าวสักหน่อย นั่นคือ “อ่าวประจวบ อ่าวมะนาว และอ่าวน้อย” พร้อมกับเดินเล่นบน “สะพานสราญวิถี” สีแดงสดใสทอดยาวลงไปในทะเล คนพื้นที่เรียกกันว่าสะพานปลาประจวบ ปัจจุบันก็ยังเป็นที่จอดเรือประมง แต่ด้วยความสวยงามของสะพาน ผมจึงมองว่าเป็นสะพานปลาที่เหมาะแก่การถ่ายรูปมากๆ (ฮา)
แต่ก่อนที่จะไปเที่ยวกันต่อกันต่อ ต้องไปกินกาแฟริม “อ่าวมะนาว” ที่ชื่อว่า “Cowboy Wing 5” ความพิเศษของที่นี่คือ “มีบริการให้ขี่ม้าด้วย” ถือว่าเป็นไอเดียสร้างสรรค์ที่ดีมาก โดยจุดนี้อยู่ในความดูแลของกองบิน 5 กองทัพอากาศ อ่าวมะนาวจึงสวยสะอาดตา ซึ่งในอดีตพื้นที่นี้ยังเกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยจะมีพิพิธภัณฑ์และเครื่องบินที่ใช้ในประวัติศาสตร์ครั้งนั้นจัดแสดงอยู่บริเวณเขาล้อมหมวกด้วย
สองข้างทางเลียบชายทะเลนี้จะมีชุมชนชื่อว่า “คลองวาฬ” ที่ยังใช้ชีวิตแบบชาวเลไว้ได้อย่างดี ในอดีตจะเห็นวาฬว่ายไปมาในทะเลอยู่บ่อย ๆ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมาเท่าไร อาจเป็นเพราะโลกที่เปลี่ยนไป แต่ถ้ามองถึงความอุดมสมบูรณ์แล้ว ผมว่าภาพรวมยังดูดีอยู่มาก สังเกตุได้จาก “สะพานปลาคลองวาฬ” ที่มีเรือประมงมาจอดทุกเช้าเย็น พร้อมกับปลาเต็มลำ ถูกใจก็ซื้อกันสด ๆ กลับบ้านได้เลย
โดยเส้นทางนี้จะไปสิ้นสุดที่ “อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ” เป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เคยเสด็จพระราชดำเนิน เพื่อทรงพิสูจน์การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ซึ่งคำนวณไว้ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำถึง 2 ปีว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นในวันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ทำให้พระองค์ได้รับสมญานามว่า “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย” โดยอุทยานวิทยาศาสตร์นี้จะมีโซนต่าง ๆ ตั้งแต่ประวัติของรัชกาลที่ 4 ไปจนถึงเรื่องราวของจักรวาลเลยทีเดียว
เย็นวันนั้น ผมจึงไปดูพระอาทิตย์ตกที่ “เขาช่องกระจก” และด้วยระยะทางที่ไม่ไกลมาก ทำให้มาถึงได้ทันเวลา ก่อนจะเดินขึ้นบันไดอีก 396 ขั้น แต่ถิอว่าคุ้มค่ามาก เพราะวิวที่เห็นอยู่นี้คือ 360 องศา เป็นมุมสูงที่เห็นทั้งอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ได้ และ 3 อ่าวที่เป็นฉายาของเมืองนี้ได้อย่างชัดเจน
วันนั้นตรงกับคืนวันเสาร์ต้นเดือนพอดี ผมจึงไม่พลาดกับ “ถนนคนเดินสายวัฒนธรรมสู้ศึก” เอกลักษณ์ของถนนเส้นนี้มีอดีตที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นกัน บ้านเรือนต่าง ๆ ก็ยังคงแบบดั้งเดิมไว้ สำหรับบ้านไม้ที่เป็นไฮไลท์ก็คือ “ฮาจิ บ้านขนมปัง” ที่มีอายุกว่า 80 ปี ภายในร้านตกแต่งแบบวินเทจ พร้อมกับมีขนมปังโฮมเมดอร่อย ๆ พร้อมเสิร์ฟ และจักรยานให้เช่าไว้ปั่นเล่นเลียบชายทะเลเมือง 3 อ่าวแห่งนี้ด้วย
เสียดายที่ผมมาถึงร้านนี้แล้ว และขนมปังขายหมดเกลี้ยงไปเรียบร้อย (แนะนำว่าต้องมาก่อนเที่ยง) แต่ถือว่าการเดินทางในครั้งนี้ได้ครบทุกรสชาติความประทับใจในเมือง 3 อ่าวที่มีครบครันทั้งทะเลและภูเขา
...แถมยังเป็นจังหวัดที่ผมต้องมาเยือนอีกหลายครั้งอย่างแน่นอน