Backpack เดินป่าฮาลาบาลา นราธิวาส

วันที่เขียน 09/10/2019
ยอดเข้าชม

97

Backpack เดินป่าฮาลาบาลา นราธิวาส

วันที่เขียน

09/10/2019

ยอดเข้าชม

97

Backpack เดินป่าฮาลาบาลา นราธิวาส      

สุดเขตแดนสยาม ผืนป่างามแห่งจังหวัดนราธิวาส เรียกขานกันสั้นว่า “ฮาลาบาลา” หรือชื่อเต็ม “ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลา” นั่นเอง เป็นผืนป่าที่ประกอบด้วยป่าสองผืนระหว่าง 2 จังหวัด นั่นคือ “ป่าฮาลา” ในจังหวัดยะลา และ “บาลา” ในจังหวัดนราธิวาส ครอบคลุมพื้นที่กว่า 6 แสนไร่ ตามแนวเทือกเขาสันกาลาคีรี เป็นป่าดิบชื้นที่งดงามที่สุดของคาบสมุทรมลายู อยู่ติดพรมแดน ไทย-มาเลเซีย ทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด สัตว์ป่าหายากก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น กระทิง เซียมมัง นกเงือก เป็นต้น ดังนั้น ที่แห่งนี้ที่จึงได้รับฉายาว่าเป็นอเมซอนแห่งอาเซียน ในดินแดนประเทศไทย  


ตอนที่ 1 สวัสดี นราธิวาส

ฤกษ์งาม ยามเช้า นกเหล็กทยานขึ้นพาเราบินลัดฟ้าจากเมืองหลวงสู่จุดหมายปลายทางท่าอากาศยานหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา อันเป็นสถานที่จุดรวมพลนัดพบคนจากทั่วสารทิศที่จะมาเป็นมิตรการเดินทางด้วยกันในครั้งนี้ สวัสดี นราธิวาส  

เราออกเดินทางจากหาดใหญ่โดยเช่ารถกระบะส่วนตัวมุ่งตรงไปยังนราธิวาส ระยะทางเกือบ 300 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลา 3 ชั่วโมง  

มันก็จะมุดๆหน่อยอะแหละ  

ไม่นานเราก็เดินทางมาถึงวัดภูเขาทอง นมัสการหลวงพ่อ ไหว้พระเรียกขวัญกำลังใจ รับศีลรับพร ก่อนจะเตรียมตัวเข้าป่ากัน  

เราขับรถออกจากหมู่บ้านโต๊ะโม๊ะไปยังลานเฟิร์น แต่ก็เกิดเหตุฉุกเฉินเสียก่อน ฝนตก ทางลื่น รถขึ้นไม่ได้ ขอบคุณนะ อื้มมม!! เราคงต้องเริ่มเดินป่ากันตั้งแต่ทางลูกรังกันนี่แหละ สละรถขนสัมภาระมาให้หมด รวมทั้ง เรือคายัค ใช่แล้ว!! เราขนเรือคายัคกันมาด้วย 555 บันเทิงล่ะสิ ยินดีด้วยยังไงเราก็ต้องไปต่อ  

เราต้องเดินเท้ากันต่อไปอีก 3 กิโลเมตร แต่สำหรับรถจักรยานยนต์แล้วสามารถซิ่งมาถึงสุดทางรถจรดทางน้ำได้

ไม่นานแต่เหมือนนาน เอ้ะยังไง? ให้มองไปที่เรือที่มีคนขนหลายสิบชีวิต ก็พอเข้าใจได้ว่ากว่าจะถึงลานเฟิร์นนั้นแบกมาหนักหนาเพียงใด แตาการเดินทางยังไม่สิ้นสุดแค่นี้เพราะเราจะล่องแพหาที่นอนใจกลางป่าตะลอนไปตามลุ่มน้ำที่นิ่งสนิทท่ามกลางความมืดมิด ชู่วววววววววว!!  

แจวมะแจวจ้ำจึก น้ำนิ่งไหลลึกลุกขึ้นมาแจว  

ดึกสงัด เหมือนจะสงบ เพราะใจมันรุ่มๆร้อน หาที่นอนกลางป่า ลานกว้างๆไม่ จะเอาแบบต้นไม้อิงแอบแนบชิด ต้องเป็นมิตรกับยุง ทาก มดและแมลงต่างๆให้ได้ จึงโบกมือลา "ลานเฟิร์น" ล่องแพลอยตามน้ำ เพื่อหาชายฝั่งทำเลเหมาะๆตะเกียกตะกายขึ้นบก หาที่ราบนอนจึงคีบอีแตะมากันครบ เพราะคงไม่ได้เดินป่าละ แต่ดันไม่มีที่ให้สิงสถิตน่ะสิ ผิดแผน 55 เลยต้องไปตามทางรกๆเพื่อหาที่กว้างๆบนยอดดอย เอ้าาาา!! เพลงมา    

รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง

รู้ว่าเหนื่อย ถ้าอยากได้ของที่อยู่สูง

ยังไงจะขอลองดูสักที

แต่สุดท้ายฝนฟ้าก็เป็นใจกับเส้นทางที่โคตรจะรกและลื่น แถมชันอีกต่างหาก อุปสรรค โอ๊ย หนาม โอ๊ย มด โอ๊ย ทาก จ๊ากกกๆ เจี๊ยกๆตลอดทาง เราก็ฝ่าฟันมันไปจนได้ พบกับ ลานทาก เอ้ย! ลานแทร็กเตอร์ ที่มีพื้นที่หลับนอนเพียงไม่กี่ชีวิต จะผูกเปลไว้กับกิ่งไม้ก็กระไรอยู่ จะนอนให้ทากแทะโลมยิ่งไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักกลับ หรือ ไม่กลับดี? เดินมาโคตรไกล แต่ กลับก็ได้วะ! 555 ด้วยสภาพไปออกรบกับน้ำกับโคลนมา ทุกคนละเรียกร้องอย่างเป็นเอกฉันท์ จงพาร่างกายและหัวใจไปฝากไว้ที่ "ลานเฟิร์น" ราตรีสวัสดิ์  

เอ้าาาาาาา!! พายกลับสิ รออะไร 555555555T_T555


ตอนที่ 2 ลานเฟิร์น ภูเขาทอง สุคิริน

ฟ้าหลังฝน งดงามเสมอ มันคงเป็นจริงดั่งคำเขาว่า เมื่อช่วงเวลายากลำบากยามค่ำคืนผ่านไป "ลานเฟิร์น" ในเช้าวันใหม่ก็ปรากฏสู่สายตา อวดโฉมวิวทิวทัศน์ที่ปลอบประโลมแก่ผู้มาเยือนว่ามันคุ้มค่าทุกย่างก้าว หรือ ย่างไก่กินยามหิว เอ้ยยย!! 55 ถ่ายหมอกไม่ทันเช่นเคย(จริงๆแล้วหนาวเลยพักสายตาแปบ) สำหรับลานกางเต็นท์นั้นเป็นพื้นราบสามารถรองรับคนได้เกือบร้อยชีวิต มีแหล่งน้ำหล่อเลี้ยง และยังเป็นเส้นทางกิจกรรมล่องแพ หรือล่องเรือคายัคยามเช้าเพื่อสัมผัสกับทุ่งเฟิร์นขนาดใหญ่อย่างใกล้ชิด ที่หาชมไม่ได้ง่ายๆ  

 

ตอนที่ 3 ผาพบสน บ้านไอกาเปาะ

ค่ำคืนนี้ยังมีดวงดาวเจิดจ้า คราบท้องฟ้ายังดูสดใส สุดส่วนของขอบฟ้ากว้างไกล ไม่มีวันใดมืดมิดสนิทนาน   

ไนท์เทรลคืนที่ 2 ลุยฝนเช่นเคย สำหรับผาพบสน ที่อยู่ท่ามกลางป่าดิบชื้นฮาลาบาลา นราธิวาส เส้นทางเดินป่าที่สามารถเห็นวิวทิวทัศน์สองฟากฝั่งระหว่างชายแดนไทย-มาเลเซีย เดินไม่ยากแค่ชันและชันและชันขึ้นเรื่อยๆ ลักษณะดินเป็นดินเหนียวแข็งๆ มีน้ำตกคั่นระหว่างทางไปมา ใช้เวลา 2 ชั่วโมงสำหรับขาขึ้น 1 ชั่วโมงสำหรับขาลื่น เอ้ยยย! ขาลง แต่ถ้าหลงก็จะยาวไปๆ เพราะทางเกือบชัด ถ้าลัดอาจไม่เจอ  

ดังนั้นเรามาเสพ คน...ขบถ(เรื่องสั้น คนจริงเนื้อหาแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น) Cr.พี่นุ เร็กเก้แมน ฟิจเจอริ่งกับ พี่เสกซากรถ กันเลยดีกว่าว่าหลงป่าตอน 5 ทุ่ม ถึง 6 โมงเช้าเป็นเช่นไร ใครอยากอ่านไว้เป็นระทึกกด Spoil ส่วนใครใจจิตตกกดข้ามไป  

สำหรับจุดชมวิวนั้นห่างจากจุดกางเต็นท์ 800 เมตร สามารถมองเห็นทะเลหมอกสองประเทศเป็นแนวกว้าง 180 องศา ส่วนอีกด้านเป็นแนวสนและพืชไม้นานาพรรณที่พัก สามารถกางเต็นท์และแขวนเปลได้ รับรองคนได้จำนวนมาก (แนะนำให้นอนเปลจะดีกว่า) ทากไม่มี แต่มดเพียบ เตรียมยากันแมลงมาด้วยก็ดี สำหรับอากาศนั้นหนาวเย็นพอกรุ้มกริ่ม   

ไม่มีแหล่งน้ำด้านบน ควรเตรียมน้ำจากด้านล่างหรือน้ำตกระหว่างทางตอนขาขึ้น, ก่อไฟได้และอย่าลืมดับด้วย, อย่าลืมช่วยกันรักษาความสามารถและเก็บขยะลงมาให้หมด และป่าใต้ฝนตกชุกชุมอุปกรณ์กันเปียกเตรียมให้พร้อม  


ตอนที่ 4 อุโมงค์ลำเลียง เหมืองทองคำโต๊ะโมะ

หลังจากที่เราออกจากผาพบสนก็เดินทางต่อมายังเหมืองทองคำโต๊ะโมะ ซึ่งห่างจากชายแดนมาเลเซียเพียง 800 เมตรเท่านั้น และใกล้ๆเหมืองก็จะมีอุโมงค์ลำเลียงอยู่ ณ ที่แห่งนี้เป็นแหล่งแร่ที่อยู่ในป่าดงดิบกลางหุบเขาสามารถพบได้ทั้งในน้ำและอุโมงค์ ชาวบ้านมักใช้เลียงมาที่มีรูปร่างคล้ายกระทะมาร่อนหาทองกันที่นี่  

นอกจากนี้เราก็มาช่วยกันทำฝายกัน ด้วยความร่วมมือจากแรงกายแรงใจทั่วสารทิศมาช่วยกันให้เหมืองทองคำแห่งนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น สามารถพายเรือและเล่นน้ำด้วยนะ  

 

ตอนที่ 5 ภูศาลา วัดโต๊ะโมะ

ไนท์เทรลคืนที่ 3 ท่ามกลางสายฝนและสายหมอก จุดหมายปลายทาง คือ ภูศาลา วัดโต๊ะโมะ ตำบลภูเขาทอง อำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส ต้องเดินป่าเข้าไปประมาณ 1 ชั่วโมง ทางง่ายแค่ชันเอง ก็จะชันและชันตลอดทาง มีขั้นบันไดเป็นดินเหนียวบ้างประปราย เส้นทางชัดเจน ไม่หลงแน่นอน  

สถานที่ที่ชื่อว่า "ภูศาลา" ก็มีศาลาสมชื่อ เป็น ศาลาเก่าๆสามารถพักอาศัยได้ มี 2 ชั้น เหมาะแก่การผูกเปล หรือถ้าใครจะเอาเต็นท์มาก็สามารถกางเต็นท์บริเวณโดยรอบได้ มีห้องน้ำรองรับ มีแคร่ไม้และลานจุดชมวิวอำนวยความสะดวก แต่ก็นั่นแหละ ต้องเดินป่าเข้ามานะจ๊ะ ราตรีสวัสดิ์  

รุ่งสาง ฟ้าอรุณ ณ จุดชมวิวทะเลหมอกสองแผ่นดิน ไทย-มาเลเซีย ณ ภูศาลา วัดโต๊ะโมะ ต.ภูเขาทอง อ.สุคีริน จ. นราธิวาส  


ตอนที่ 6 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลา ผืนป่างามแห่งประเทศไทย

"นกเงือก"... เป็นอัญมณีมีปีกงามของที่นี่ ก่อนกลับเราจึงขับรถมาส่องนกเงือกกันในเส้นทางเขตรักษ์พันธุ์ป่าฮาลาบาลา ทางเดินรถนั้นเป็นเลนเดียวรอบข้างก็จะเต็มไปด้วยไม้ป่านานาพันธุ์ อยู่ห่างจากหมู่บ้านโต๊ะโมะไม่นานขับรถมา 10 นาทีก็ถึง แต่ถ้าขับวนอยู่ในนั้นล่ะก็สักครึ่งชั่วโมงได้ไม่นับเวลาส่องนกเงือก บรรยากาศก็จะดูวังเวงหน่อยๆด้วยความดิบของป่า มีจุดในส่องสัตว์ด้วยขับมาเรื่อยๆก็จะเห็นเอง ที่นี่นอกจากจะมีนกเงือกพันธุ์หายากที่เยอะแล้ว ยังมีใบไม้เปลี่ยนสีในปลายฝนต้นหนาวด้วย สำหรับภาคนกเงือกนั้นเลนส์ไม่ถึง ได้แต่มองตาปริบๆ ไร้ภาพบันทึก 555 ส่วนข้างทางที่เป็นพงหญ้านั้นทากดุมากชุมยิ่งกว่ายุง ใครกลัวทากแนะนำให้เดินบนถนน  


ตอนที่ 7 คำขอบคุณส่งท้าย ...

ขอขอบคุณผู้เดินทางทุกท่านที่ร่วมทางกันตั้งแต่ต้นจนจบทริป เที่ยว ช่วยเหลือ แบ่งปันกันในทุกๆอย่าง  และความช่วยเหลือจากทุกภาคทุกส่วนจากจังหวัดนราธิวาสที่ดูแลเป็นอย่างดี ขอบคุณมา ณ ที่นี้ค่ะ  

ใครสนใจรายละเอียดเพิ่มหรือต้องการไปเที่ยวแบบนี้ ติดต่อ พี่หรั่ง https://www.facebook.com/pookauwtong

อย่าลืมเก็บนราธิวาสไว้เป็นจังหวัดที่คุณต้องลองมาเยือนสักครั้งหนึ่งนะ ณ ครั้งนี้ ขอสวัสดี ฮาลาบาลา