CHILL ONE DAY บิดจากนนท์ถึงนคร

วันที่เขียน 17/06/2022
ยอดเข้าชม

219

CHILL ONE DAY บิดจากนนท์ถึงนคร

วันที่เขียน

17/06/2022

ยอดเข้าชม

219

เขียนโดย Nuim Navigator

แชมป์รายการแฟนพันธุ์แท้ ท่องเที่ยวไทย (Workpoint) / พิธีกรเที่ยวสบายสไตล์ชุมชน / Podcaster

ต้นหน้าฝนแบบนี้ ทำให้ผมนึกถึงไอดินและกลิ่นหญ้าของทุ่งนาเขียวๆ ในแบบบ้านๆ ครั้นจะไปเที่ยวไกลๆ หลายๆ วันก็ต้องวางแผนกันก่อน ผมเองก็เป็นพวกใจร้อนนิดๆ จึงขอไปบิดวอร์มอัพใกล้ๆ แบบ One Day Trip ในสไตล์แชมป์แฟนพันธุ์แท้ท่องเที่ยวไทย…กันเลยดีกว่า

ครั้งนี้ผมได้รถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อ “Royal Enfield” รุ่น “Interceptor 650CC.” สี Orange Cursh หรือสีส้มจี๊ดๆ มาเป็นพาหนะคู่ใจ บอกตรงๆ เลยว่าครั้งแรกที่เห็นเจ้าคันนี้คือรู้สึกว่าหล่อมาก กับรูปลักษณ์ภายนอกที่ลงตัวทุกกระเบียดนิ้ว และยังโดดเด่นด้วยท่อคู่สุดเท่ สมแล้วที่ Interceptor 650 เคยได้รับรางวัลระกับโลก Bike of The Year 2020 ในรุ่น Best Modern Classic Middle Weight ถึง 2 ปีซ้อน (2019 - 2020)

อย่างไม่รอช้า ทริปนี้ผมจึงปักหมุดไปนนทบุรีต่อเนื่องถึงนครปฐม เพราะอย่างที่บอกไว้ตอนต้น ผมอยากเห็นทุ่งข้าวเขียวๆ สวยๆ ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ ที่นี่จึงตอบโจทย์ One Day Trip ของผมได้อย่างสบาย กับทริปที่ผมขอตั้งชื่อว่า “CHILL ONE DAY บิดจากนนท์ถึงนคร”

เริ่มต้นด้วยเส้นทางเลียบคลองประปาแบบชิลๆ แถบ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เพื่อชมวิวสวยๆ ของธรรมชาติที่สะท้อนผิวน้ำได้อย่างลงตัว ระหว่างทางหันไปเจอป้าย “บ้านก๋วยเตี๋ยวกะลา” ความสงสัยของผมจึงเริ่มทำงาน และเลี้ยวรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปในทันที...จะบอกว่า

“RE Interceptor 650” คันนี้ควบคุมง่ายมากๆ แถมควบคุมวงเลี้ยวได้ดั่งใจ ทำให้ผมจอดหน้าร้านได้แบบพอดิบพอดี (ฮา)

พอจอดรถปุ๊บ ผมก็มาถึงบางอ้อทันทีว่า “ร้านนี้ใช้กะลามะพร้าวเป็นชามก๋วยเตี๋ยวทั้งหมด” โดยเสิร์ฟมาพร้อมกับก๋วยเตี๋ยวน้ำตกชาติเข้มข้น รสชาติถึงใจ อร่อยแบบไม่ต้องปรุง มีทั้งสายหมูและสายเนื้อให้เลือกครบเลยครับ ซึ่งไอเดีย “ชามกะลา” นี้ถือว่าเป็นความแปลกที่เข้ากัน และเปี่ยมด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบบ้านๆ อย่างแท้จริง แถมยังอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย

กินของอร่อยๆ ไป นั่งชมวิวทุกนาสีเขียวๆ ไป ในซุ้มศาลาที่ทางร้านจัดไว้อย่างสวยงาม ช่างน่ารื่นรมย์เสียจริงๆ ผมเลยจัดเบาๆ ไป 1 ชาม แต่อิ่มมาก (ฮา) งั้นเมื่อท้องอิ่มแล้วก็พร้อมเดินทางไปเที่ยวต่อกันเลย! นิดนึงครับเกือบลืม...ที่นี่มีขนมไทยโบราณ อย่างเช่นขนมหยกมณี เปียกปูนใบเตย ใครสนใจก็ลองซื้อติดไม้ติดมือเป็นของฝากได้เลยนะครับ

จุดหมายต่อไปคือ “วัดคลองเจ้า” จากข้อมูลของชาวบ้านแถบนี้ บอกว่ามีพระประธานกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอไทรน้อยอยู่ที่นี่ เมื่อผมบิดเจ้า “RE Interceptor 650” ไปถึงก็รู้สึกได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระประธานที่นี่ หรือคนพื้นที่เรียกกันว่า “หลวงพ่อใหญ่” และชื่ออย่างเป็นทางการก็คือ “พระพุทธบาทมิ่งเมืองทอง”

ด้วยความสูง 24 เมตร และมีหน้าตักกว้างถึง 18 เมตร พาให้ผมคิดไปว่าเมื่อตอนก่อสร้างเมื่อราว 40 ปีที่แล้ว (ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2524) ถนนหนทางบริเวณนี้มีแต่ดินลูกรังและดินโคลน ทุกคนต้องเปี่ยมไปด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้า จึงจะสร้างพระประธานกล้างแจ้งที่ใหญ่เช่นนี้ได้ อีกอย่างหนึ่ง “พระพุทธบาทมิ่งเมืองทอง” นี้ไม่ได้สร้างตามลักษณะของพระพุทธรูปที่ถูกสัดส่วนตามแบบแผน แต่ถูกสร้างขึ้นจากปราชญ์และชาวบ้านที่ร่วมแรงร่วมใจกัน นับว่าเป็นงานพุทธศิลป์ที่มีคุณค่าเช่นกัน และพบเห็นได้ตามแถบชานเมืองของจังหวัดต่างๆ ครับ

นอกเจ้านี้ “วัดคลองเจ้า” ยังเป็นรอยต่อพอดิบพอดีของจังหวัดนนทบุรี และจังหวัดนครปฐมอีกด้วย ดังนั้น เมื่อไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยแล้วก็บิด “RE Interceptor 650” ไปตามถนนสายรองแบบ Local คดเคี้ยวไปตามหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งเจ้าคันนี้เข้าโค้งได้ดีมาก ควบคุมรถได้ง่ายสุดๆ แถมด้วยระบบเบรค ABS ที่หยุดได้ดังใจคิด ท่ามกลางวิวที่มีแต่ทุ่งนาสวยๆ และอากาศดีๆ สูดหายใจกันได้เต็มปอดแบบสุดๆ

โดยความสดชื่นนี้ต่อเนื่องมาเป็น “แอร์ออร์คิดส์” จุดหมายลำดับถัดไปของผม เป็นสวนกล้วยไม้ที่ใหญ่สุดในจังหวัดนครปฐม มีกล้วยไม้สวยๆ ให้เลือกซื้อนับพันๆ ชิ้น หรือหากขยายความให้พูดอย่างถูกต้อง ที่นี่ก็คือ “ซูเปอร์มาร์เก็ตกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย” โดยมีราคาเริ่มต้นเพียง 20 บาทเท่านั้นเองครับ

เอาเป็นว่าเดินเล่นหรือเดินช้อปกันได้ทั้งวันแบบสบายๆ แถมยังมีมุม Cactus หรือกระบองเพชรเล็กๆ น่ารักๆ ให้เลือกซื้อด้วย ผมเชื่อว่าใครมาที่ “แอร์ออร์คิดส์” นี้ต้องได้ติดไม้ติดมือกลับบ้านไปสักต้นแน่ๆ

จากดูต้นไม้สวยๆ ผมก็พา “RE Interceptor 650” มาหยุดที่ “บ้านรังนก” ตลาดชุมชนที่ขายของออร์แกนิก ติดริมแม่น้ำนครชัยศรี โดยมีวิวโค้งน้ำสวยๆ ให้ดูกันเพลินๆ เหมาะแก่การนั่งพักผ่อนเป็นที่สุด สำหรับที่นี่เป็นตลาดแบบผสมผสานที่จะนำผลผลิตของชาวบ้านมาขาย เช่น ข้าว ผักสด กล้วย มะพร้าว และอื่นๆ โดยเน้นความสะอาด ปลอดสารพิษ แสดงถึงความใส่ใจดีที่ต่อผู้บริโภคอย่างเราๆ เป็นที่สุด รวมถึงยังพาน้องหมา น้องแมว มาเที่ยวได้นะครับ…ที่นี่จัดไว้ให้พร้อมเลย

ที่สำคัญ หากใครมีของสภาพดีที่ไม่ใช้งานแล้วก็นำมาบริจาคได้ที่นี่กับ “โครงการสุขวันละนิด” เขาจะแบ่งปันของพวกนี้ให้กับชุมชนหรือสังคมอื่นๆ ที่ต้องการ แต่หากใครไม่มีของก็สามารถบริจาดเป็นเงินได้นะครับ (ผมแอบหยอดไปนิดนึง) เพื่อสร้างความสุขให้กับคนอื่นๆ ด้วย…ตามสโลแกนที่ว่า “สุขที่ได้แบ่งปัน สุขที่ทำได้ทุกวัน สุขที่เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ใกล้ตัว”

ปิดท้ายวันด้วยความหอมของกาแฟแบบ Moka Pot หรือกาแฟหม้อต้ม กับร้านลับๆ ที่ชื่อว่า “Botanica House” ซึ่งร้านเล็กๆ แบบนี้ ผมพาเจ้า “RE Interceptor 650” จอดได้อย่างสบายๆ เรียกว่าจอดปั๊บ ถ่ายรูปเจ้าส้มจี๊ดคันนี้ได้เลย

ภายในร้านถูกตกแต่งด้วยสไตล์โบฮีเมียน ผสมความเป็นอิตาลีนิดๆ ผสานกับกลิ่นกาแฟเข้มๆ พาให้คิดไปว่าอยู่กรุงโรม (ฮา) อย่างไม่รอช้า ผมรีบสั่งเมนูประจำตัวก็คือ อเมริกาโน่เย็น (ไม่ใส่น้ำตาลเลย) เพื่อเพิ่มความสดชื่นยามบ่ายๆ ให้กับไบค์เกอร์แบบผมได้เป็นอย่างดี พอหันซ้ายหันขวาก็ไปเจอ “พีนัท ช็อกโกแลต” ที่มีหน้าตาและรสชาติดีแบบต้องยกนิ้วให้ ภายใต้ความกรุบกรอบของก้อนชีสโดยรอบ บวกกับความเข้าเนื้อช็อกโกแลตที่หนานุ่ม...ไม่ต้องบอกเลยว่า! ผมจัดทีเดียวหมดจาน (ฮา)

ความอร่อยแบบนี้ทำให้ผมสงสัยว่า...ทำไมร้านแบบนี้จึงมาอยู่ที่ลับๆ แบบนี้ได้? สอบถามคุณแก้ม เจ้าของร้าน จึงได้ความว่า...เคยเป็นเชฟทำเค้ก และของหวานอยู่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และกลับมาเปิดร้าน “Botanica House” แห่งนี้ที่บ้านตัวเอง...มิน่าล่ะ เค้กและขนมต่างๆ ที่อยู่ในตู้ถึงดูน่ากินมากๆ...ผมนี่ติด 5 ดาวให้เลย

ความชิล One Day Trip แบบนี้ ผมมองว่าเป็นการเริ่นต้นการเดินทางแบบง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถไปท่องเที่ยวได้ไม่ยาก กับการบิดมอเตอร์ไซค์คู่ใจรับลมเย็นๆ บนเส้นทางชิลๆ เช่นนี้ในแบบ “CHILL ONE DAY บิดจากนนท์ถึงนคร (ปฐม)” ...ลองดูกันครับ แล้วจะติดใจ!

ซึ่งสำหรับผมแล้ว เจ้า “Royal Enfield” รุ่น “Interceptor 650” คือรถคู่ใจ และพร้อมลุยไปกับผมในทุกเส้นทางท่องเที่ยวจริงๆ

...แล้วไว้พบกันใหม่ในทริปหน้าครับ

สิ่งที่เราอยากแนะนำ