EP 01 : Hidden Place สุข สงบ…เขาโด่ สุโขทัย (ตอนที่ 01) #WeekendRiderThailand

วันที่เขียน 29/10/2018
ยอดเข้าชม

19

EP 01 : Hidden Place สุข สงบ…เขาโด่ สุโขทัย (ตอนที่ 01) #WeekendRiderThailand

วันที่เขียน

29/10/2018

ยอดเข้าชม

19

เขียนโดย Nuim Navigator

แชมป์รายการแฟนพันธุ์แท้ ท่องเที่ยวไทย (Workpoint) / พิธีกรเที่ยวสบายสไตล์ชุมชน / Podcaster

เช้าตรู่วันเสาร์กลางฤดูฝน เราสองคน “หนุ่ม - โจ้” นัดรวมตัวกันที่บางบัวทอง จ.นนทบุรี เพื่อมุ่งหน้าสู่บ้านไร่ชายเขาของพี่โรจน์ ที่บ้านนาต้นจั่น อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย และไป Camping  กันคืนนี้ที่บ้านแม่สาน หมู่บ้านชาวปกาเกอะญอกลางหุบเขา

ระยะทางวันนี้ประมาณ 550 กม. กะไว้คร่าวๆ ว่า 4 โมงเย็นน่าจะถึงจุดหมาย ผมมี Honda PCX 150cc เป็นมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ส่วนคู่หูผมนั้นขี่ Kawasaki ER6N บิ๊กไบค์ขนาดเครื่อง 650cc และรถของเราติดกล่องหลัง GIVI สีดำขนาด 43 ลิตร เพื่อใส่สัมภาระต่างๆ ได้สะดวกมากขึ้นและไม่เปียกฝนแน่นอน 100%

ขอบขอบคุณพี่กำพล เจ้าของร้าน GT Autobike สำหรับน้ำใจงามๆ ที่ให้กล่อง #GIVI ฟรีๆ (แถมยังมีหมวกกันน็อคให้อีกใบ)

ด้วยความที่ผมเป็นมอไชค์บ้านๆ เดิมๆ ทาง #YSS บริษัทโช๊คอัพคุณภาพของคนไทย จึงจัดรถ PCX พร้อมโมดิฟายโช๊คอัพให้ใหม่ อัพเกรดกลายเป็น G – Sport รุ่นท็อป ปรับรีบาวน์และสปริงได้ถึง 30 ระดับ เรียกว่าทางดำหรือทางดินทริปไหนก็วิ่งได้นิ่มๆ สบายๆ

เราชาร์จพลังด้วยกาแฟคนละแก้วก่อนเดินทาง แล้วเติมน้ำมันรถให้เต็มถัง ของผม PCX อยู่ที่ 8 ลิตร ส่วนอีกคัน ER6N อยู่ที่ 15 ลิตร และราคาแก็สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 26.85 บาท (พฤษภาคม 2017) สรุปค่าน้ำมันเริ่มต้นทั้ง 2 คันประมาณ 618 บาท (23 ลิตร x 26.85 บาท) และตกลงกันไว้ว่าผมคือคันนำ ส่วนคู่หูคือคันตาม และรักษาความเร็วให้อยู่ระหว่าง 70 – 90 กม./ชม. เพื่อความปลอดภัย

การเดินทางจากนนทบุรีเราใช้เส้นทางหลัก คือสายเอเชียมุ่งหน้านครสวรรค์เพื่อรักษาเวลาในการเดินทาง แต่พอถึงแค่ปทุมธานี เจอรถเก๋งบี๊บแตรใส่ ประหนึ่งว่าจะหาเรื่อง...แต่ยังไม่ทันจะคิดต่อ เขาก็กดกระจกลงมาแล้วตะโกนว่า “ไอ้เหลิมๆๆ” นั่นไง! ไอ้วิทย์ เพื่อนเก่ามือกีตีาร์สุดแกร่งแห่งวง Rain Shadow เพื่อนหอวังของผมกับโจ้นั่นเอง...เราจอดพักคุยกันริมทาง ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนไม่เจอกัน 20 ปีจะมาเจอกันง่ายๆ แบบนี้กลางถนน ก่อนจะแยกย้ายกันไป และผมถามวิทย์ว่า “จำกูได้ยังไง?” วิทย์ตอบว่า..ก็มอไซค์จำง่ายนี่

สำหรับจุดหมายแรกที่แวะพักคือ “เล็กต้มเลือดหมู จ.สิงห์บุรี” เพื่อกินมื้อเช้ากันในเวลาเกือบ 10 โมง ที่นี่ยังใช้ชิปพลาสติกแลกเงินอยู่ ร้านตั้งโดดเด่นอยู่ริมทางหลวงสายเอเชีย และมีอยู่ 2 ร้าน ต่างคนก็เคลมว่าเป็นเจ้าแรก ส่วนรสชาติอร่อยใช้ได้ แต่ทีเด็ดอยู่ที่เปิดตี 3 ปิดบ่าย 2 คนขับรถกลางคืนต้องแวะเลย…สรุปค่าเสียหายมื้อเช้านี้สนนราคา 120 บาท

จากนั้นเราเดินทางต่อ พักรถแถวชัยนาทประมาณ 20 นาทีเพื่อคลายความเมื่อยล้า และพักทาครีมกันแดดแบบผู้ชายไบค์เกอร์อย่างเรา ต้องขอบคุณแพน เพื่อนหอวัง / 13 ที่ให้ครีม Elite SPF 50+++ มาใช้กันอย่างจุใจ เรียกว่าใช้ออกทริปได้ทั้งปีเลย (ฮา) แล้วเราก็บิดยาวๆ สู่กลางเมืองปากน้ำโพ เจอบิ๊กซี นครสวรรค์ เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนหมายเลข 117 ไปพิจิตรและพิษณุโลก โดยเราตกลงกันว่าทุกๆ 100 กม. จะพักกันประมาณสัก 10 นาที แล้วค่อยไปกันต่อ แต่ในความเป็นจริงคือเราพักบ่อยกว่านั้น (ฮา) เพราะแสงแดดที่ร้อนจัดแม้จะเป็นหน้าฝน…เป็นอันว่าทุก 50 กม. พวกเราก็พักกันแล้วครับ

จากพิษณุโลกเราขี่มาทางเลี่ยงเมืองเพื่อทำเวลา (อีกแล้ว) ทำให้พลาดที่จะแวะแลนมาร์คสุดคลาสสิคของเมืองพิษณุโลกกับ “4 แยกอินโดจีน” หลักกิโลที่ทั้งใหญ่และแนวมากๆ บอกเส้นทางที่จะไปพม่า เวียดนาม กัมพูชา และจีน อีกนับพันกิโลเมตร

เวลาล่วงเลยมาเกือบบ่ายโมงตรง ถึงเวลาที่พวกเราต้องหาอะไรรองท้อง ก็พอดีกับจุดพักที่มาร์คไว้คือ “ปั๊ม ปตท. พรหมพิราม” จุดเด่นของที่นี่คือแหล่งรวมรองเท้ามือ 2 ที่ใหญ่ไม่ใช่เล่น มีรองเท้าดีๆ ราคาถูกหลายแนวให้เลือก ใครผ่านไปมาต้องลองแวะดู สวนเมนูของพวกเราก็จัดง่ายๆ ไป...ข้าวหน้าไก่ย่าง 5 ดาว แล้วก็เครื่องดื่มชูกำลังใน 7 – 11 สรุปหมดไปอีก 300 บาท

และในที่สุดฝนก็ถล่มลงมาก่อนเข้าอุตรดิตถ์ พวกเรารีบจัดแจงหยิบเสื้อกันฝนมาใส่ ของสำคัญที่เปียกไม่ได้ก็เก็บไว้ที่กล่องหลัง GIVI แล้วเราก็ขี่ลุยฝนกันต่อไป คู่หูผมไปได้สบายๆ ส่วนผมมือขวาหนึ่งจับแฮนด์ ส่วนมือซ้ายต้องเอามาปิดหน้า เพราะสายฝนเวลาโดนหน้านี่เจ็บเหมือนเข็มแหลมๆ มาทิ่มจริงๆ (ฮา) และทำให้รู้ว่า…การใส่หมวกกันน็อคเต็มใบดีกว่าใส่หมวกเปิดหน้าอย่างผมแน่นอน

ฝนตกอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมงจึงค่อยๆ ซา พอดีกับขี่ผ่านร้าน “ลมเย็น” ร้านข้าวแกงไฮโซ บรรยากาศดี แต่ราคาสบายกระเป๋าเริ่มที่ 30 บาท ที่สำคัญอร่อยจนต้องยกนิ้วให้…เสียดายว่าเราอิ่มกันแล้ว และเราก็เลทกันมาพอสมควร

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาบ่าย 3 ครึ่ง ผมขอแวะเติมน้ำมันอีกครั้ง หมดไป 150 บาท ส่วนคู่หูผมนั้นไม่ต้อง จากนั้นเราสองคนจึงต้องเร่งความเร็วกันอีกเพื่อให้ไปถึงบ้านนาต้นจั่น จึงพลาดแลนด์มาร์คที่เราได้ปักหมุดกันไว้ถึง 4 แห่งนั่นคือ “สถานีรถไฟสุดคลาสสิก ศิลาอาสน์” อยู่กลางเมืองอุตรดิตถ์แต่คนละชื่อกับจังหวัด “พระยาพิชัยดาบหัก” ฮีโร่ไอดอลของคนไทยทั้งประเทศ “ประตูเมืองลับแล” ซึ่งมีไม่กี่แห่งในไทย กับตำนานห้ามพูดโกหก และ “วัดเสาหิน” ที่มีศิลปะสวยงามกึ่งล้านนาที่สวยงามมาก

พวกเราใช้เส้นทางจาก อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ตัดตรงยาวเข้าสุโขทัยสู่ อ.ศรีสัชนาลัย ประมาณ 40 กม. ก่อนถึงบ้านนาต้นจั่น วิวสองข้างทางร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่อย่างต้นก้ามปู ทำให้เราสองคนรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที…แม้ว่าจะตากแดดตากฝนมาทั้งวัน

ในที่สุด 4 โมงเย็น พวกเราก็ถึงจุดนัดหมาย (แรก) ที่บ้านไร่ชายเขาของพี่โรจน์ ในหมู่บ้านนาต้นจั่น เราสามคนพูดคุยกันอยู่ไม่นานก็รีบมุ่งหน้าไปจุดนัดหมายต่อไป เพื่อเจอกับอีกทีมที่เหลือนั่นคือ เพจตามรอยลุง เพจ Chech in ศรีสัชนาลัย และพรรคพวกอีก 2 – 3 คน กับจุดหมาย Camping ในคืนนี้ที่ “บ้านแม่สาน”

พวกเราเหลือระยะอีก 50 กม. แต่...เป็นทางลูกรังอัดแน่น เพราะฉะนั้นก่อนมืดอีกไม่ถึง 2 ชม. พวกเราทุกคันควรจะไปถึงจุดหมาย ลำพังพี่โรจน์กับพรรคพวกนั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะเขาเข้ามาสำรวจพื้นที่กันหลายรอบแล้ว ส่วนผมกับคู่หูนั้นต้องค่อยๆ ไป เพราะไม่ชินทาง และต้องระวังเรื่องล้มให้ดี ไม่งั้นยกรถขึ้นกันมีเหนื่อย (ฮา) เอาเป็นว่าบิ๊กไบค์ขับมาก็มีเหนื่อย (เพื่อนโจ้ผู้ขับ ER6N คอนเฟิร์ม)

สรุปว่า Mission Complete เราสองคนและพรรคพวกพี่โรจน์ถึงบ้านแม่สานโดยสวัสดิภาพในเวลา 17.30 น. แม้ว่าแสงอาทิตย์จะไม่ค่อยมีเพราะฝนกำลังจะตก แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าหมู่บ้านในหุบเขาแห่งนี้ขอชาวปกาเกอะญอ สงบและสวยงามมาก คุ้มค่าต่อการขี่รถเข้ามาสัมผัสบรรยากาศไอดินกลิ่นทุ่งเป็นที่สุด

แต่หากย้อนกลับไปกว่า 50 ปีที่แล้ว หมู่บ้านแม่สานคือพื้นที่ทุรกันดารที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองไทย ไม่มีข้าวกิน ต้องขุดหามันหาเผือกกินไปวันๆ แต่แล้วความเปลี่ยนแปลงก็มาเยือนในกลางปี พ.ศ. 2516 หม่อมเจ้าวิภาวดีรังสิตฯ (ยศในขณะนั้น) ได้เป็นผู้แทนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ในหลวง รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยกลุ่มแพทย์ เพื่อนำสิ่งของพระราชทานไปให้กับชาวบ้านทุกคน

การเดินทางในยุคนั้น อย่าเรียกว่าถนนเลยจะดีกว่า (ทางที่พวกเราและพี่โรจน์ขี่กันมาในวันนี้นี่แหละ) เพราะมันเป็นดินเลนเหนียวๆ คนเดินทุกวันยังลื่น นับประสาอะไรกับรถ Land Lover คันใหญ่ๆ ของหม่อมเจ้าวิภาวดีรังสิตฯ และทีมงาน สุดท้ายรถก็ติดหล่มทำให้ขับต่อไปได้

แต่ด้วยน้ำใจและความห่วงใยที่มีมากล้นของท่าน พวกเขาจึงตัดสินใจเดินเท้าไป...อีก 12 กม. คิดดูว่าจะใช้เวลามากเท่าใด? คำนวณง่ายๆ เลยว่า คนเราแบบแข็งแรง เดินทางปกติจะอยู่ประมาณ 4 กม. / ชม. ถ้ามี 12 กม. ก็ควรใช้เวลา 3 ชม. กว่าๆ ก็น่าจะถึง แต่วันนั้นทางไม่ปกติแน่นอน ครบสูตรของคำว่าเละเทะและกันดารจริงๆ

ตามคำบอกเล่า ไม่มีใครบอกได้ว่าหม่อมเจ้าวิภาวดีรังสิตฯ และทีมงานใช้เวลาเดินเท่าใด? แต่ผมขอเดาเองว่า ไม่น่าต่ำกว่า 12 ชม. ด้วยเส้นทางที่ลำบาก จำนวนคน การหยุดพัก และอื่นๆ อีกมากมาย เฉลี่ยได้ชั่วโมงละ 1 กม. ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว...ต้องนับถือใจท่านจริงๆ ครับ

และแล้วไฮไลท์แห่งความลำยากก็ยังไม่จบ เมื่อหม่อมเจ้าวิภาวดีรังสิตฯ และทีมงานมาถึงหมู่บ้านแม่สาน ข้าวสารและอาหารต่างๆ ที่เคยขนมาล่วงหน้า ชาวบ้านปกาเกอะญอได้หุงและกินทุกอย่างเกลี้ยงแล้ว เหตุเพราะคนที่นี่อดอยากและยากจนมากๆ เผือกและมันคืออาหารประทังชีวิตไปวันๆ

หม่อมเจ้าวิภาวดีรังสิตฯ ไม่รู้สึกโกรธ แต่กลับรู้สึกสงสารมากขึ้นกว่าเดิม ชาวบ้านเองก็พยายามหาของกินมาให้ท่าน มะพร้าวคือของดีที่สุดในตอนนั้น ท่านเองก็รับมาด้วยความเต็มใจ สายตาได้มองเห็นหมาที่หิวโซ จึงลองยื่นเนื้อมะพร้าวให้กิน ผลก็คือหมาสองสามตัวนั้นแย่งกินกันจนเกลี้ยง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ท่านเห็นหมาต้องกินเนื้อมะพร้าวเพื่อประทังชีวิต

เรื่องดราม่าแบบนี้เป็นใครก็ต้องสงสารและหาทางช่วย หม่อมเจ้าวิภาวดีรังสิตฯ จึงนำของพระราชทานแจกให้กับชาวบ้านทุกคน และยังขอร้องให้คนที่มีความรู้ให้เป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่นี่ เพื่อให้เด็กๆ ได้รู้หนังสือและการศึกษาที่ดีขึ้น โดยสัญญาว่าจะมอบเงินส่วนตัวของท่านให้กับครูเพิ่มเติม นอกเหนือจากเงินเดือนที่ได้รับจากราชการด้วย

จุดเปลี่ยนซึ้งๆ แบบนี้ได้กลายมาเป็นโรงเรียนบ้านแม่สานในทุกวันนี้ กระทั่งในปี พ.ศ. 2519 พระมหากรุณาอันล้นพ้นก็มาเยือน...พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ในหลวง รัชกาลที่ 9) สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังหมู่บ้านแม่สาน ทรงเยี่ยมเยือนชาวปกาเกอะญอและพระราชทานสิ่งของที่จำเป็นมากมาย...กลายเป็นความทรงจำที่ทรงคุณค่าของบ้านแม่สานอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ในหลวง รัชกาลที่ 9 ยังได้พระราชทานนามสกุล “ค้างคีรี” ให้กับชาวปกาเกอะญอทุกคน เพราะท่านเห็นว่าคนเหล่านี้ยังไม่มีนามสกุลใช้กันทั้งหมู่บ้าน จึงตั้งตามแหล่งที่อยู่นั่นคือ...อาศัยอยู่ในหุบเขา...และกลายเป็นนามสกุลอย่างที่เล่ามา เป็นอีกหนึ่งพระมหากรุณาธิคุณที่ชาวบ้านไม่เคยลืมเลือน

(ติดตามต่อตอนที่ 02)

สิ่งที่เราอยากแนะนำ