รับลมหนาวประเทศเวียดนาม Sapa & Hanoi
ซาปา Sa Pa เป็นเมืองชายแดนตอนเหนือของประเทศเวียดนาม จุดเด่นของเมืองนี้คือนาขั้นบันไดที่สวยงามและกลายมาเป็นจุดเด่นในการเรียกนักท่องเที่ยวมาที่นี่กันนั่นเอง ซาปา มีฉายาว่า "สวิตเซอร์แลนด์ของเวียดนาม" เพราะมีอากาศหนาวเกือบทั้งปีจึงเหมาะสำหรับมาเที่ยวรับลมหนาว เดิมที ซาปา เป็นเมืองตากอากาศของเจ้านายชั้นสูงชาวฝรั่งเศสที่มาทำงานในเวียดนาม จึงมีสถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือนและการวางผังเมืองแบบอาณานิคมฝรั่งเศส (French Colonial)
ฮานอย Hanoi เป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนาม ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของเวียดนามเหนือระหว่าง พ.ศ. 2497 ถึง พ.ศ. 2519 และก่อนหน้านั้นเคยเป็นเมืองหลวงของพื้นที่เวียดนามในปัจจุบันเป็นครั้งคราวตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 จนถึง พ.ศ. 2345 ซึ่งเราไม่ได้ไปเที่ยวในฮานอยเลยเพราะไปถึงก็ค่ำแล้ว แต่ได้แวะอยู่ที่หนึ่ง คือ โบสถ์ โบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph Cathedral) ใจกลางกรุงฮานอย เพราะอยู่ใกล้ๆ กับออฟฟิตที่จองรถนอนเอาไว้นั่นเอง
ค่าใช้จ่ายต่อคน
- ค่าเครื่องบิน VietJet 3,539 บาท
- ที่พัก Sapa Eden Hotel 1 คืน 1,030 บาท คนละ 513 บาท (**แต่เนื่องจากไปช่วงที่ปิดปรับปรุง จึงได้ย้ายมาที่ Eden Boutique Hotel แทน)
- ค่ารถนอน และ ค่ารถรับส่งสนามบินมาที่ออฟฟิตรถนอน ไป - กลับ รวมทั้งหมด 34 เหรียญ
- ค่าตั๋วขึ้นกระเช้า Fansipa ไป – กลับ ประมาณ 1,000 บาท หรือ 7,000,000 ดอง
- ค่ากินต่างๆ แลกไป 3,000 บาท หรือ 2,000,000 ดอง
วิธีคิดเงิน ดอง Dong
ตัดศูนย์ออกไป 3 ตัวหลัง แล้วคูณด้วย 1.5 นะ เช่น 700,000 ดอง ก็เอา 700 X 1.5 = 1,050 บาทนั่นเอง (เป็นการคิดคร่าวๆ นะ)
*** คำเตือนเกี่ยวกับแท็กซี่เวียดนาม ***
แนะนำว่าให้คุยกับแท็กซี่ดีๆ ถ้าให้ดีให้ราคาเหมาไปเลยนะ โดยราคา 1 กิโล จะประมาณแค่ 50,000 ดองเท่านั่น แล้วพยายามย้ำว่าดองหรือดอลลาร์ เพราะทริปนี้โดนโกงแบบกดมิเตอร์ทั้งเงินดองทั้งเงินลอลลาร์ไปเหมือนกัน ซึ่งแท็กซี่ดีที่เก็บตามมิเตอร์ก็มีนะก็ขอชื่นชมว่านายเป็นคนดีมากๆ แต่อย่างว่าแหละทุกที่ย่อมมีคนโกงนะ ไม่ใช่แค่บ้านเค้าบ้านเราก็เป็นแหละ เราจะไม่เหมารวมว่าทุกคนโกง ใครจะไปก็ควรมีสติในการฟังและต่อรองกันด้วยนะ
ขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิเวลา 15.50 น. ซึ่งสายการบินนี้ตรงเวลามากๆ แนะนำว่าให้ไปรอที่ประตูตามเวลาที่เคาน์เตอร์บอกนะ ซึ่งภายในเครื่องสะอาดดี เป็นเครื่องบินลำเล็กๆ
ใช้เวลาในการเดินทางไปฮานอยประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง พอถึงสนามบินก็ซื้อ Sim มือถือ ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบหลายราคา ซึ่งเราเลือกแบบประมาณ 9 USD ความเร็วอินเตอร์เน็ต 3.5 GB ต่อวัน (จำยี่ห้อไม่ได้ขออภัยนะ) ส่วนเรื่องแลกเงินแนะนำให้ไปแลกที่ออฟฟิตเอเจนซี่ที่ติดต่อรถนอนก็ได้ เพราะจะเสียนับเวลาและอาจโดนโกงเพราะเงินดองแลกมาจะได้หลายล้ามดองมากๆ ถ้านับไม่ดีอาจจะโดนโกงได้เหมือนกันนะ เอเจนซี่ที่เราติดต่อชื่อคุณเฮืองครับ ติดต่อมากจากทาง facebook นี้ https://www.facebook.com/nguyen.huong.7967?fref=ts
พอจ่ายค่ารถกับเอเจนซี่เสร็จเค้าก็แนะนำให้ไปทานเฝอเนื้อ ร้านข้างๆ ออฟฟิตนั่นเอง
เฝอ เมนูอร่อยประจำเวียดนาม น้ำซุปเข้มข้นและหอมอร่อยมาก ส่วนเนื้อก็นุ่มไม่เหนียวกำลังดี
ข้างๆ ในซอยก็จะมีโจ๊กแบบนั่งเก้าอี้สั้นๆ เตี้ยๆ ด้วย แต่เราก็ไว้ค่อยมากินเช้าวันกลับดีกว่า
โบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph Cathedral)
โบสถ์เซนต์โจเซฟ (St. Joseph Cathedral) ใจกลางกรุงฮานอย สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 19 โดยมีต้นแบบเป็นวิหารนอทเทอร์ดามในกรุงปารีส โบสถ์นี้เป็นศูนย์รวมชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในฮานอย และยังมีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวด้วย มหาวิหารเซนต์โยเซฟแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่ฝรั่งเศสเข้ายึดครองฮานอยในช่วงแรกๆ ถือเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลที่โดดเด่นมากของฮานอย
Cộng cà phêgx
ฝั่งตรงข้ามโบสถ์จะมีร้านกาแฟร้านนึงชื่อ Cộng cà phêgx เป็นร้านกาแฟชิลล์ๆ โดยสั่งเป็น Coffee with coconut milk รสชาติหอมมะพร้าวกับกาแฟแปลกดีนะ
พอเวลาประมาณ 21.30 น. ก็มาที่ออฟฟิตเพื่อนั่งรถจากนี่ไปขึ้นรถทัวร์แบบนอนนั่นเอง
มาถึงรถทัวร์เค้าก็เช็คชื่อแต่ละกรุ๊ป ก่อนขึ้นรถคนขับรถจะให้เราถอดรองเท้าใส่ลงไปในถุงก่อน และให้น้ำดื่มมา 1 ขวด แล้วก็ให้เข้าไปหาที่นอนได้เลย โดยรถจะแบ่งที่นอนเป็น 2 ชั้น ใครอยากนอนกลิ่นอโลม่า (กลิ่นทีน) ก็เลือกด้านล่าง หรือ ใครชอบความหวาดเสียวตอนรถตีโค้งให้เลือกด้านบน 555 ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ก็จะถึงซาปานะ
Eden Boutique Hotel
ถึงซาปาประมาณ ตี 3 แต่รถจะจอดให้เรานอนถึง 6 โมงเช้า จากนั้นก็เรียกเราลงจากรถมาแบบงงๆ แล้วเราก็ต้องหาแท็กซี่ไปยังที่พักกันเอง แน่นอนว่าแท็กซี่พยายามเรียกราคามา เรามากัน 5 คน แท็กซี่บอก 50,000 ดอง แต่ต้องไป 2 คัน เราทำท่าจะเดินหนีเค้าเลยให้ 50,000 ดอง คันเดียวก็ได้เราก็เลยไป พอถึงที่พัก Sapa Eden Hotel เราก็เข้าห้องน้ำล็อบบี้ เพื่อล้างหน้าแปลงฟัน สายๆ มีพนักงานลงมาเปิดไฟแล้วบอกว่าที่นี่ปิดปรับปรุงและให้เราย้ายไปพักที่ Eden Boutique Hotel แทนนั่นเอง
ทางโรงแรมจัดรถมารับไปที่พักใหม่ คือ Eden Boutique Hotel มาถึงพนักงานก็ต้อนรับดีมาก เราก็ฝากกระเป๋าไว้ที่เค้า เพราะที่นี่เช็คอินเวลา 13.00 น. นั่นเอง
ปาเต เป็นขนมปังใส่ไข่เจียวสูตรเวียดนาม
เบียร์ต่างๆ ของเวียดนาม ราคาไม่เกิน 30 บาทไทย ถูกมากๆ แต่รสชาติก็ไม่ได้ถูกปากเรากันเท่าไรนะ กินเอาเมาได้ อิอิ
เราออกเดินทางไปหมู่บ้านกั๊ตกั๊ต Bản Cát Cát กัน มาทริปนี้อากาศไม่เป็นใจเอาซะเลย มีฝนและหมอกเกือบทั้งวันเลย
เดินกันไปยาวๆ ราวๆ 3 กิโลจากตัวเมือง
ถึงแล้วววว..วว หมู่บ้านกั๊ตกั๊ตค ส่วนใหญ่จะเป็นชาวม้งดำ ประกอบอาชีพ เกษตรกรรม ปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด และเลี้ยงสัตว์ มีร้านอาหาร มีร้านค้าเยอะแยะมากมายในหมู่บ้าน ส่วนอากาศมีแต่ฝนกับหมอกตลอดวัน เซ็งง..งงง !!
เสียค่าเข้าคนละ 70,000 ดอง หรือ 100 บาท
เดินลงเขามาเรื่อยๆ จะเห็นวิวนาขั้นบันไดของชาวบ้านนั่นเอง
แวะหาอะไรทานเล่นกัน เป็นหมูพันเห็ดเข็มทองกับไข่ปิ้ง อร่อยดีนะ
หมู วัว สุนัข เค้าก็ปล่อยเดินเล่นทั้งหมู่บ้าน เชื่องมากไม่กัดไม่เห่าเลย
ชื่อหมู่บ้าน แมว แมว แต่ไม่เห็นแมวสักตัว โธ่ !!!
ลงมาเรื่อยๆ เพื่อไปยังน้ำตกของหมู่บ้าน
เดินลงมาสักพักก็มาถึงอีกหนึ่งไฮไลท์ของหมู่บ้านกั๊ตกั๊ต นั่นก็คือธารน้ำตกของหมู่บ้าน จะมีสะพานไม้ไผ่ให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม และถ่ายรูปเล่นด้วย
เดินวนขึ้นมาข้ามสะพานแดงมาก็จะจบทริปทัวร์หมู่บ้านนี้แล้ว เจอแท็กซี่เค้าเรียก 100,000 ดอง 5 คน ประมาณ 150 บาท เราคำนวนแล้วโอเค ก็นั่งกลับที่พักโลดดด..ดด
มาต่อที่อาหารบ่ายๆ มาลองหมอไฟซาปาที่เค้าล่ำลือกัน บอกเลยว่าอร่อยดี น้ำจิ้มแนะนำให้ใส่พริกลงไปด้วยนะ
มาถึงที่พักในตอนบ่าย 2 ก็ทำการเช็คอินเข้าไปนอน ห้องพักที่นี่ดีเกินราคาเลยนะ แต่มีข้อเสียเหมือนกันคือวิวไม่สวยเหมือนที่ Sapa Eden Hotel และมีเสียงก่อสร้างอยู่ตลอด เพราะเค้ากำลังสร้างโรงแรมใหม่เพิ่มตลอดเวลานั่นเอง แต่โดยร่วมแล้วโอเคนะ
หลับไป 4 ชั่วโมง ตื่นมา 6 โมงเย็นเฉยยย..ยยย !!! เราก็ออกมาเดินเล่นตรงกลางเมืองโดยหวังจะเจอตลาดกลางคืน แต่ไม่เห็นจะมีตลงตลาดอะไรเลย (เซ็งซ้ำสอง) เลยหาร้านกินกันตอนเย็นดีกว่า
สั่งเฝอเนื้อมาอีกรอบ แต่ร้านนี้รสของน้ำซุปจะจืดกว่าร้านที่ฮานอย ต้องปรุงกันหน่อยนะ
เค้าบอกเบียร์ถิ่นของที่นี่ ก็ต้องลองสักหน่อย
โบสถ์คริสกลางเมืองซาปา (Holy Rosary Church Or the Stone Church)
ยอดเขาฟานสิปัน Fansipan
เช้าวันที่สอง นั่งรถตู้มาที่ ยอดเขาฟานสิปัน Fansipan คือ ยอดเขาสูงเสียดฟ้า มีความสูงถึง 3,143 เมตรจากระดับน้ำทะเล เอาง่ายๆก็สูงสุดในแถบๆ ลาว เวียดนาม กัมพูชา ยอดเขานี้ตั้งอยู่ในประเทศเวียดนามตอนเหนือหรือที่เราคุ้นเคยกันดีใน "หมู่บ้านซาปา"
มาถึงที่สำนักงานที่ขายตั๋วเพื่อขึ้นไปฟานซิปัน ราคา ไป - กลับคนละประมาณ 700,000 ดอง หรือ ประมาณ 1,000 บาท
ขึ้นกระเช้า Cable Car แล้ว วิวแรกที่ได้เห็นเลย คือ หมอกกก...กก !! (เซ็งรอบสาม) แต่ก็เห็นวิวข้างล่างบ้างนิดหน่อยซึ่งเดือนนี้นาขั้นบันไดจะไม่ค่อยเห็น เพราะถูกเก็บเกี่ยวไปแล้วนั่นเอง
ขึ้นมาถึงด้านบนแล้วจะเป็นสถานีตัวอาคารอีกหนึ่งชั้น จะมีร้านอาหาร กาแฟของขายที่ระลึก และเราก็ต้องเดินขึ้นไปอีกเพื่อไปขึ้นรถราง หรือ เดินขึ้นบันไดเองไปเรื่อยๆ จนถึงยอดเขา ระหว่างนี้เราก็จะเดินผ่าน Tam Quan Gate เป็นประตูทรงจีนใหญ่ๆ
ศาลเจ้า Bich Van
ขึ้นไปเรื่อยๆ จะเจอกับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ด้วย แต่หมอกหนาเลยทำให้เห็นแบบนี้
พอเราขึ้นมาเจอกับรถรางก็จะถึงยอดเขาพอดี (เหนื่อยมากกก..กก)
ขึ้นมาก็มาถ่ายรูปกับหลักบอกความสูงว่าเราได้มาพิชิตเขานี้แล้ววว..ววว
ลงมาก็ไปหาอะไรทานในมื้อบ่ายๆ แน่นอนว่าหนีไม่พ้นหม้อไฟ เพราะอากาศหนาวเหลือเกินต้องหาอะไรร้อนๆ ใส่ร่างกายให้อบอุ่มซะหน่อย
เย็นๆ ก็ออกมาเดินตรงลานของเมืองอีกรอบ เพราะไม่รู้จะไปไหนแล้วเนื่องจากฝนตกและมีหมอกมากจริงๆ
ประมาณ 3 ทุ่ม กว่าๆ ที่พักก็โทรเรียกแท็กซี่เพื่อไปส่งเราที่ออฟฟิคของรถทัวร์แบบนอน เพื่อกลับไปฮานอยนั่นเอง
ถึงฮานอย ตี 3 กว่าลงมาแบบ งงๆ เช่นเคย แท็กซี่ก็เข้าชาร์ตแบบรวดเร็ว คุยว่ากดมิเตอร์และคิดเป็นเงินดอง แต่ต้องแยกกันไป 2 คัน เพราะตอนนี้มีเพื่อนมารวมเพิ่มเป็น 7 คนนั่นเอง แท็กซี่ทั้งสองคันนี้ก็พาเราวนไปวนมาแล้วก็พาส่งถนนตรงข้ามออฟฟิคเอเจนซี่ของเรา แล้วเรียกเงินเราคันละ 350,000 ดอง รวมสองคัน 700,000 ดอง หรือประมาณ 1,000 บาท !!! โดนโกงชัวร์ๆ แต่เพราะไม่มีทางสู้แล้วเลยระดมเงินทุกคนให้ๆ มันไปแล้วด่าแบบ
จากนั้นก็รอพนักงานออฟฟิคมาเปิดประตูในเข้าไปนอนชั้น 4 หรือ 5 จนถึงเช้าก็ออกมาหาอะไรทาน
แน่นอนว่าต้องมาทาน โจ๊กเก้าอี้สั้น อร่อยดี ร้อนๆ
เดินทัวร์เมืองบริเวณใกล้ๆ จนถึง 9.30 น. ก็นั่งแท็กซี่ที่ทางเอเจนซี่โทรให้มารับไปสนามบิน โดยเครื่องออกประมาณ 12.15 น. กลับไทยโดยสวัสดิภาพ