• สายการบิน
  • ประสบการณ์ที่คุณจะได้รับ
  • เตรียมตัวก่อนเดินทาง
  • ที่พัก
  • รีวิวท่องเที่ยว
  • ของขึ้นชื่อประจำเมือง
  • สรุปค่าใช้จ่ายต่อคน
  • สรุปตารางท่องเที่ยว
5 วัน 4 คืน

รีวิว เที่ยว Snow Festival ที่อากิตะ!!

วันที่เขียน 01/10/2020
ยอดเข้าชม

421

รีวิว เที่ยว Snow Festival ที่อากิตะ!!

วันที่เขียน

01/10/2020

ยอดเข้าชม

421

#Akita #Iwate

เรียบเรียงโดย PinTrip

ไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยว.. ของคนรุ่นใหม่

สายการบิน

Airlines

  • NokScoot
    NokScoot
    DMK
    02:45
    AXT
    10:25
  • NokScoot
    NokScoot
    AXT
    13:15
    DMK
    18:00

เตรียมตัวก่อนเดินทาง

ก่อนเดินทาง เราได้เช็คข้อมูลมาในเบื้องต้นว่าช่วงมกราคม - กุมภาพันธ์ ของจังหวัด อากิตะ และภูมิภาค โทโฮคุ (Tohoku area) ค่อนข้างหนาว และมีหิมะตกในบางวัน และด้วยความที่ทริปนี้เราตั้งใจจะไปดู Snow monsters และ เดินเที่ยว Snow Festival เลยมั่นใจได้ว่า หนาว แน่ นอน!! 


การเดินทาง

เราซื้อตั๋ว JR East Pass Tohoku Area 5 days สำหรับนั่งรถไฟเที่ยว (ไม่จำกัดรอบ)


แอปพลิเคชั่นที่ต้องเตรียม

  • Google map สำคัญมาก
  • Hyperdia for androi (สำหรับ ios สามารถใช้ผ่านเว็บไซต์หรือโหลดตอนอยู่ญี่ปุ่น)

สภาพอากาศ

จังหวัดอากิตะเป็นจังหวัดที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด 29 องศาในเดือนสิงหาคม และต่ำสุดประมาณ -3 องศาในเดือนมกราคม ในช่วงวันที่ 13-17 กุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 5 องศาเซลเซียส


แนะนำการแต่งกาย

ในทริปนี้แนะนำให้เป็นเสื้อขนเป็ด/ขนห่านที่มีคุณภาพเกรด Fill Power ตั้งแต่ 640 เป็นต้นไป และสามารถกันน้ำได้ รวมถึงลองจอน (Lonh john) เพิ่มความอบอุ่นสำหรับข้างใน ที่สำคัญรองเท้าสำหรับ ลุยหิมะเพื่อป้องปัญหาหิมะกัดเท้าน้ำซึมเข้ารองเท้าและการลื่นล้ม

แนะนำให้ลงทุนกับรองเท้านิดนึงค่ะ เพราะเราจะเดินกันค่อนข้างเยอะหากเกิดปัญหารองเท้ากัด หรือเจ็บเท้า เราจะเที่ยวไม่สนุก

ค่าครองชีพ

อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 0.283 (วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2020) เนื่องจากเราได้ซื้อ JR East Pass Tohoku Area 5 days ไปแล้ว เพราะฉะนั้นค่าเดินทางอาจจะไม่เยอะ ที่ต้องห่วงก็คือค่ากิน และค่าช็อปปิ้งเท่านั้น เราเลยแลกเงินไป 40,000 เยน (11,320 บาท)

ภาษาที่ใช้

ญี่ปุ่น / อังกฤษ

อินเทอร์เน็ต

Sim2fly Ais 399 บาท (เน็ตไม่จำกัดความเร็ว 6 Gb ใช้งานได้ 10 วัน)

ที่พัก

รีวิวท่องเที่ยว

Day 1 | 13 กุมภาพันธ์ 2020

ในทริปนี้ใช้เวลาทั้งหมด 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 13 – 17 กุมภาพันธ์ 2020 เราออกเดินทางในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2020 มีปลายทางที่จังหวัดอากิตะ ออกเดินทางจาก สนามบินดอนเมือง ประเทศไทยตอน 02.45  ถึงสนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่นเวลา 10:25 น. (เวลาท้องถิ่น) กับสายการบิน Nok scoot 

เมื่อถึงสนามบินนาริตะแล้ว เราก็เริ่มเดินทางเข้าสู่สถานีโตเกียว ด้วยรถไฟ N’EX (Narita Express) และจองตั๋วชินคันเซ็น จากสถานีโตเกียว ไป อากิตะ ด้วยชินคันเซ็นสาย Komachi10 โดยเราแพลนจะถึงอากิตะประมาณ 18:05 

(สถานีโตเกียว มองจากด้านนอกใหญ่มากๆ)

ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าในการเดินทางจากสนามบินนาริตะมาสู่สถานีโตเกียว ซึ่งเป็นสถานีรถไฟใต้ดินที่มีจำนวนรถไฟเข้าออกระหว่างเมืองเยอะที่สุด โดยสถานีโตเกียวก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวไปในตัว ทั้งร้านอาหาร และร้านค้ามากมาย เราแวะทานข้าวแกงกระหรี่ที่สถานีโตเกียว เป็นร้านเล็ก ๆ ในมุมก่อนจะถึงทางออก นั่งได้ไม่กี่คน ทำให้มีลูกค้าต่อแถวประมาณหนึ่ง แต่รสชาติดีมาก ๆ อร่อยมากค่ะ (แต่เมนูมีแต่ภาษาญี่ปุ่นนะคะ ต้องใช้สกิลจิ้ม ๆ เอาสักหน่อย)

แวะซื้อขนมกันนิดหน่อยก่อนจะเดินทางไปอากิตะด้วยชินคันเซ็น ประมาณ 4 ชั่วโมง จากสถานีอากิตะไปโรงแรมที่จองไว้ประมาณ 1 กิโลเมตร

ซึ่งระหว่างทางเดินก็ผ่านสถานที่น่าสนใจต่าง ๆ ในอากิตะ ไม่ว่าจะเป็น Museum art สวนธารณะ และร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ เราเดินจากสถานีรถไฟไปใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็ถึงโรงแรม APA Hotel Akita-Senshukoen  


โรงแรม APA Hotel Akita-Senshu koen

ตอนเราไปถึงเวลาประมาณ 4 ทุ่ม มีพนักงานต้อนรับประมาณ 3-4 คน พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย ก่อนจะขึ้นมาที่ห้องพักขนาด 11 ตารางเมตรเท่านั้นค่ะ ด้วยอากาศที่เย็นมากทำให้ไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์ ส่วนห้องน้ำก็สะอาดดี มีอ่างอาบน้ำ น้ำร้อน น้ำเย็น ทำงานได้ปกติ

ทางโรงแรมมีการจัดโซนห้องที่สูบบุหรี่ กับไม่สูบบุหรี่ เราเลือกห้องไม่สูบุหรี่ บรรยากาศภายในห้องสะอาดสะอ้านดี ที่อากิตะอุณหภูมิประมาณ 4 อากาศเย็น ๆ ชื้น ๆ มีหิมะตกนิดหน่อย ก่อนที่จะนอนหลับไปเพื่อเริ่มเช้าวันใหม่


Day 2 | 14 กุมภาพันธ์ 2020

วันนี้เราจะไปแช่ออนเซ็นเก่าแก่ของทางอากิตะ เที่ยวรอบทะเลสาบทาซาวะ ก่อนจะไปดูเทศกาลที่ Kakunodate เริ่มออกเดินทางจาก Akita เวลา 07:16 โดยนั่งรถไฟสาย Komachi จากสถานีอากิตะไป Tawazako ใช้เวลาประมาณ 55 นาที ถึงตอน 08:11 มีเวลาเดินเล่นแถวสถานี Tawazako  นิดหน่อย ก่อน Tourist information จะเปิดตอน 08:30

(บริเวณสถานี Tawasako ด้านหน้าเป็นป้ายรถ Bus)

เราเข้าไปติดต่อกับทาง Tourist information เพื่อเช็ค Bus ของทาง Onsen ที่เราจะไปว่าวันนี้เปิดและมีบริการรถรับส่งมั้ย

วันนี้เราจะไป Tsurunoyu onsen เราจะได้ตารางรถ Bus มา พร้อมกับเวลาที่รถบัสของทางออนเซ็นมารับ ซึ่งเราจะต้องเดินทางออกจาก Tawazako ตอน 08:45 ลงป้าย Arupa Komakusa ก่อนที่ shutter bus ของทางออนเซ็นจะมารับ ตอน 09:40 ถึงออนเซ็นประมาณสิบโมงกว่าๆ มีเวลาอยู่ในออนเซ็นถึงตอน 11:40 จะมี Shutter bus มาส่งที่ป้ายเดิม ก่อนที่เราจะรอ Bus ไปลงที่ Tazawako kokan (Lake shore) เพื่อรอ Circular bus

 

Tsurunoyu Onsen

ขึ้นชื่อว่าเป็นออนเซ็นน้ำนมที่เก่าแก่ที่สุดใน หมู่บ้าน Nyuto onsen อยู่ด้านในลึกที่สุด และห่างออกมาจากออนเซ็นที่อื่น ๆ 

ที่นี่เป็นออนเซ็นที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ (พ.ศ. 2146 - 2411) บรรยากาศข้างในจะแบ่งออกเป็นโซนที่พัก (เรียวกัง) ร้านกาแฟ และออนเซ็น ในวันที่เราไปเป็นวันธรรมดาทำให้คนไม่ค่อยเยอะ มีคนญี่ปุ่นบ้าง แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นนักท่องเที่ยวคนไทยเสียมากกว่า 

โดยออนเซ็นจะมีทั้งหมด 5 บ่อ (บ่อแยกหญิง - ชาย อย่างละ 2 บ่อ บ่อ 1 บ่อ) เปิดให้บริการวันอังคาร - อาทิตย์ 10.00 - 15.00 น. ค่าบริการคนละ 600 เยน ค่าผ้าเช็ดตัวแยกต่างหากทางออนเซ็นมีขายในราคา 600 เยนสำหรับผืนเล็ก และ 1200 เยน สำหรับผืนใหญ่

เราสามารถเดินไปชำระค่าบริการก่อนที่จะเดินเข้าออนเซ็น ร้านค้าจะอยู่ทางซ้ายมือ ซึ่งจะมีของที่ระลึก และของฝากขายภายในร้านอีกด้วย

ก่อนเดินเข้าไปแช่ออนเซ็นด้านหน้าจะมีป้ายบอกว่าแต่ละบ่อ อยู่ทางไหน หลังจากนั้นเราก็สามารถเดินเข้าไปถอดเสื้อผ้า และล้างตัวก่อนที่จะลงแช่ออนเซนได้เลยค่ะ ไม่ต้องกลัวเรื่องจะเขินอาย หรืออะไรนะคะ คนที่นี่เขาถือว่าเป็นเรื่องปกติค่ะ

เข้าไปก็จะมีทั้งวัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุ แช่ออนเซ็นไปพูดคุยกันไป สนุกสนานเลยทีเดียวค่ะ ความสูงของน้ำในบ่อออนเซ็นจะสูงเกินกว่าเข่านิดหน่อยค่ะ เราสามารถนั่งแช่ และใช้ผ้าขนหนูผืนเล็ก วางไว้บนหัว หรือคอยซับเหงื่อไปเรื่อย ๆ หากแช่สัก 10-15 นาที เราควรพักก่อนที่จะลงไปแช่อีกครั้งนะคะ 

ออนเซ็นที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นออนเซ็นน้ำนม จริงๆ แล้ว เป็นน้ำแร่ ที่มีส่วนผสมของ กำมะถันที่มีโซเดียม แคลเซียมคลอไรด์ และไฮโดรเจนคาร์บอเนต โดยความร้อนของน้ำในออนเซ็นจะอยู่ที่ 40-44 องศา ซึ่งขัดกับอากาศข้างนอกที่มีอุณหภูมิอยู่ที่ 6 องศา (ในหน้าหนาว) ล้อมรอบไปด้วยหิมะ ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ไม่ร้อนมาก พร้อมกับวิวแนวภูเขากับกองหิมะเย็นๆ Relax สุดๆ 

หลังจากแช่ออนเซ็นเสร็จ เรานั่งรถกลับไปที่ป้าย Arupa Komakusa เพื่อรอรถ Bus ไปลงที่ Tazawako kokan (Lake shore) เพื่อขึ้น Circular bus ไปตามสถานที่ต่างๆ 


แนะนำ circular bus

Circular bus คล้ายๆ กับรถนำเที่ยว ที่จะไปจอดตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบ Tazawa รูปปั้นเจ้าหญิงทัตศึกโกะ ศาลเจ้าคันซากุ และ ศาลเจ้าโกะซะโนะอิชิ ซึ่งหากเราแวะเที่ยวแต่ขึ้นรถไม่ทันรอบนั้นอาจจะต้องรอรอบถัดไปนานถึง 3 ชั่วโมง


ทะเลสาบ Tazawa

ทะเลสาบที่ขึ้นชื่อว่าลึกที่สุดในญี่ปุ่นเป็นทะเลสาบที่มีเอกลักษณ์ในการเปลี่ยนสีน้ำในแต่ละฤดูกาล ด้วยความลึกของทะเลสาบทำให้เงาสะท้อนสีน้ำออกมาแตกต่างกันในแต่ละฤดูกาล หากมาเที่ยวทะเลสาบในช่วงฤดูกาลอื่นจะมีบริการล่องเรือทะเลสาบ แต่บรรรยากาศครึ้ม ๆ  มีกลิ่นอายหิมะ ปกคลุมก็สวยไปอีกแบบ

(ท่าเรือปิดเนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็น)

ในวันที่ไปเมฆค่อนข้างหนาทำให้ไมมีแสงแดด ท้องฟ้าค่อนข้างครึ้ม ทำให้น้ำทะเลสาบสีเข้ม จนเหมือนกระจกสะท้อนเงาภูเขาที่ล้อมรอบ เป็นโลกคู่ขนานกันเลยค่ะ


รูปปั้นเจ้าหญิงทัตสึโกะ

มีหลายตำนานเล่าว่าทัตสึโกะเป็นหญิงสาวที่อยากรักษาความงามของตนเองไว้จึงมาดื่มน้ำที่ ทะเลสาบ Tazawa ที่มีความเชื่อว่าดื่มน้ำจากทะเลสาบจะรักษาความอ่อนเยาว์ไว้ได้ แต่ด้วยความโลภ ทำให้เธอดื่มน้ำจากทะเลสาบมากเกินไปจนสุดท้ายโดนสาบให้เป็นรูปปั้นคอยเฝ้ารักษาทะเลสาบเอาไว้ 

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่าทัตสึโกะเป็นหญิงสาวที่โดนเจ้าแม่กวนอินสาบให้กลาย เป็นมังกร และได้พบรักกับมังกรหนุ่มในทะเลสาบ และด้วยความรักของทั้งคู่ ทำให้ทะเลสาบ Tazawa ไม่เคยกลายเป็นน้ำแข็งเลย เพราะความรักอันอบอุ่นของทั้งคู่นั่นเอง

 

ศาลเจ้าคันซากุ

อยู่ใกล้ๆกับรูปปันทัตสึโกะ เป็นศาลเจ้านิกายชินโตที่สร้างตั้งแต่สมัยเมจิ (พ.ศ. 2312) เป็นศาลเจ้าที่ ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรความรัก คู่ครอง 

วันที่เราไปศาลเจ้าปิดทำการ เนื่องจากสภาพอากาศ ร้านค้ารวมถึงวัดในหลาย ๆ ที่จะปิด บริการในฤดูหนาว หากตั้งใจจะไปไหว้พระหรือซื้อเครื่องรางในแต่ละที่แนะนำให้มาในช่วงฤดูอื่นนะคะ

 

ศาลเจ้าโกะซะโนะอิชิ

ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ Tazawa ตั้งชื่อตาม โยชิทากะ ขุนนางในตระกูลซาตาเกะ (ซึ่งต่อมาเป็นตระกูล ขุนนางที่ปกครองอากิตะ) โด่งดังเรื่อการขอพรขอความอ่อนเยาว์และเป็นศาลเจ้าเดียวกันกับ ที่ทัตสึโกะมาขอพร (ตั้งอยู่ตรงข้ามกับรูปปั้นทัตสึโกะ) และยังขึ้นชื่อเรื่องเสริมดวงชะตาอีกด้วย ถือว่าเป็นจุด check point ยอดนิยมของคนที่มาเที่ยวอากิตะจุดหนึ่งเลยแหละ เป็นมุมที่ห้ามพลาด!

ในการนั่งรถ Circular Bus ชมสถานที่ต่างๆใช้เวลาทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง 30 นาที แวะแต่ละจุด 10 - 15 นาทีเท่านั้น ทำให้ต้องรีบเที่ยว รีบลงไปถ่ายรูป และต้องรีบวิ่งขึ้นรถ เพื่อที่จะไปสถานที่ต่อไป 

หลังจากนั้นเรานั้นรถวนมาลงที่สถานีต้นทางคือ Tawazako และนั่งรถไฟต่อไปยัง Kakunodate เพื่อไปชมเทศกาล

 

Kakunodate Fire and Snow Festival

เป็นประเพณีโบราณของชาวอากิตะ ที่มีการทำสืบเนื่องกันมากว่า 400 ปี มีความเชื่อว่าเปลวไฟ จะช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไป รวมทั้งขอพรให้ครอบครัวสุขภาพแข็งแรง และมีกินมีใช้ตลอดปี โดยจะจัดขึ้น 2 วันต่อปี ปีนี้ตรงกับวันที่ 13 - 14 กุมภาพันธ์ ในวันที่ 13 จะจัดที่ริมแม่น้ำ Hinokinai

พิธีกรรมจะเริ่มหลัง 17.00 หรือจนกว่าจะมืด อากาศค่อนข้างหนาว แต่ไฟที่ใช้ใน การทำพิธีทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นมากเลยค่ะ ซึ่งพิธีกรรมบูชาเทพเจ้าแห่งไฟทำด้วยการนำไม้ หรือฟืนมาใส่ในถึงก่อนจะจุดไฟ และทำการหมุนเหวี่ยงเป็นวงกลมรอบตัวค่ะ


กินราเมง & เกี๊ยวซ่า

ก่อนที่เราจะกลับ แวะกินราเมงกับเกี๊ยวซ่าจากร้านที่เดินผ่านระหว่างทางก่อนที่จะถึงสถานี Kakunodate ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น ราเมงร้อน  ๆ สักจาน ช่วยให้รู้สึกอุ่นขึ้นมากเลยทีเดียว

หลังจากท้องอิ่มเรียบร้อย เราจึงเดินทางกลับด้วยรถไฟสาย Komachi จาก Kakunodate ไปยัง Akita และเดินทางกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนสำหรับวันต่อไป

 

Day 3 | 15 กุมภาพันธ์ 2020

เราเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการเดินทางออกจากอากิตะ ด้วยชินคันเซ็นสาย Komachi 10 เวลา 07:16 เพื่อเดินทางไปลง Kakunodate สถานีที่เราเคยมาแล้วเมื่อวาน ก่อนจะซื้อ Mt. Moriyoshi Sightseeing Pass (Winter) จากทางรอรถไฟ Local line อยู่ตรงมุมนทางเข้าห้องน้ำของสถานี Kakunodate  

ตั๋ว Mt. Moriyoshi Sightseeing Pass (Winter) คือตั๋วสำหรับรถไฟสาย Akita Nairiku Line Taxi และ Cable car ที่ใช้เดินทางไปดู Snow monsters บนภูเขา Moriyoshi Kamakura Festival อำเภอ Yokote

หลังจากซื้อ Mt. Moriyoshi Sightseeing Pass (Winter) เรียบร้อยแล้ว เราก็มารอรถไฟ Local line สาย Akita Nairiku Line ใช้เวลาประมาณ 90 นาที เพื่อมาลงสถานี Aniai ก่อนจะต่อ taxi จากสถานีไปยังสกีรีสอร์ทเพื่อนั่ง Cable car ขึ้นไปดู Snow Monsters ในการเดินทางด้วยรถไฟ สาย Akita Nairiku Line ไม่น่าเบื่อเลย มีไกด์คอยบรรยายสถานที่ต่างๆ ตัวขบวนตกแต่งไปด้วยรูปน้องหมาพันธ์อากิตะ และวิวสองข้างทางสวยจะละสายตายไม่ได้เลยทีเดียว  


Snow monSter ที่เขา Mt.Moriyoshi

เจ้า Snow monsters หรือเจ้าปีศาจหิมะ ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "จูเฮียว" ที่แปลว่าต้นไม้ที่เต็มไปด้วยหิมะ หรือ โดนหิมะเกาะทั้งต้น ซึ่งสิ่งที่จะทำให้เกิด จูเฮียว หรือเจ้าปีศาจหิมะนั้น ประกอบไปด้วยหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิ ปริมาณความหนาแน่นของหิมะ พันธุ์ไม้ต่างๆ กว่าจะเป็นปีศาจตัวๆให้เราเห็นนั้น ไม่ง่ายเลยค่ะ

ระหว่างเดินชมเจ้าปีศาจหิมะเราก็จะได้เห็นคนมาโชว์ลีลาการเล่นสกี เนื่องจากเจ้าปีศาจหิมะอยู่ใน สกี รีสอร์ท นั้นเอง กว่าจะขึ้นมาถึงบนยอดเขาเราก็ได้นั่ง Cable car หรือ กอนโดล่าที่เขาเรียกกัน ชมวิวไปพลางๆ 

การเดินบนหิมะหนาๆ ในการชมปีศาจหิมะต้องเดินด้วยความระมัดระวัง ทั้งความลื่นและ ความหนาแน่น ของหิมะ (ขาเราอาจจะจมลงไปในบางที่ที่หิมะไม่หนาแน่นพอ) ทางสกีรีสอร์ทจะมีรองเท้าบูธ ให้เราไปเดินลุย ระวังอย่าให้น้ำหรือหิมะเข้าไป ไม่งั้นจะหนาวมากๆ ซึ่งวิวและบรรยากาศรอบข้างก็สวยมาก ๆ เรียกได้ว่าคุ้มกับการเดินทางมาก ๆ เลยค่ะ


Yokote Kamakura Festival

เป็นประเพณีที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานของชาวอากิตะ จะจัดขึ้นในวันที่ 15-16 ของทุกปี เพื่อบูชาเทพแห่งน้ำ ขอพรให้แม่น้ำอุดมสมบูรณ์ และให้ประชาชนในเมืองมีกินมีใช้ ซึ่งสัญลักษณ์ ที่สำคัญของเทศกาลนี้คือ การสร้างกระท่อมหิมะ 

ในเดือนกุมภาพันธ์จังหวัดโยโกเตะ จะมีการสร้าง กระท่อมหิมะทั้งเล็กและใหญ่ไปทั่วเมือง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการบูชาเทพเจ้าแห่งน้ำในทุกที่ๆ เรานั่งรถไฟจากสถานี Ainai มาลงที่ Yokote ใช้เวลาประมาณ 150 นาที เมื่อถึงสถานีเดินออกมาก็จะเจอบะที่ประชาสัมพันธ์งานเทศกาล และเจอกระท่อมน้ำแข็งเต็มไปหมดทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่

ประเพณีนี้จะมีการสร้างกระท่อมหิมะขนาดใหญ่ และมีการเชิญชวนให้เข้าไปทานปิ้งย่าง ข้างใน กลิ่นเนื้อหอมเข้ากับบรรยากาศเย็น ๆ พร้อมทั้งมีการแจกสาเก (ไวน์ข้าวที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำ หรือไม่มีเลย) ที่รสชาติอร่อยมาก ทำให้ร่างกายเรารู้สึกอุ่นขึ้นหลังจากเดินอยู่ในบรรยากาศ 4 องศาในตอนกลางคืน

ประเพณีดังกล่าวจะมีการสร้างกระท่อมหิมะขนาดใหญ่ และมีการเชิญชวนให้เข้าไปทานปิ้งย่าง ข้างใน กลิ่นเนื้อหอมเข้ากับบรรยากาศเย็น ๆ พร้อมทั้งมีการแจกสาเก (ไวน์ข้าวที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำ หรือไม่มีเลย)

ทั่วทั้งงาน จะมีการกระจายออกเป็น 4 จุด เริ่มตั้งแต่ทิศตะวันออกของสถานีรถไฟ Yokote station ไปจนถึงปราสาท Yokote ผ่าน สวนสาธารณะ Komyoji และ สะพาน Janosaki โดยตลอดแนวทางเดิน จะมีกระท่อมหิมะเล็กๆไปตลอดทาง นอกจากนี้ยังมี Shuttle Bus เพื่ออำนวยความสะดวก ให้แก่นักท่องเที่ยวตลอดคืน

แวะซื้อเนื้อปิ้งร้อน ๆ เป็นข้าวเย็น ก่อนที่จะเดินทางกลับจากสถานี Yokote ด้วยรถไฟไปลงที่สถานี Akita ก่อนจะแวะร้านสะดวกซื้อขนมและเดินทางกลับโรงแรม


Day 4 | 16 กุมภาพันธ์ 2020

วันนี้เราจะเดินทางออกจาก อากิตะ เพื่อไปเที่ยวที่จังหวัดอิวาเตะ หนึ่งในจังหวัดในภูมิภาค Tohoku เดินทางโดยชินคันเซ็นสายประจำของเราคือ Komachi 10 ไปลง Morioka เพื่อเปลี่ยนสายชินคันเซ็น ไปลงที่สถานี Ichinoseki และนั่ง Local line ไปลงสถานี Geibikei เพื่อล่องเรือในหุบเขาก่อนจะไปชมมรดกโลกที่วัด Motsuji 


ล่องเรือเกบิเค (Geibikei)

เกบิเคเป็นหุบเขาที่อยู่ในจังหวัดอิวาเตะ ยาวประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นสถานที่ธรรมชาติที่มี ประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 100 ปี และยังเป็นหนึ่งในร้อย สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำของญี่ปุ่น แนะนำให้มาเที่ยว ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ส่วนในฤดูอื่นก็จะมีความสวยงามแตกต่างกันไป แต่เนื่องจากเราไปในฤดูหนาว นักท่องเที่ยวจึงไม่มากนัก 

ระหว่างทางก็จะมีไกด์ท่องถิ่น หรือฝีพาย เข้ามาเล่าเรื่อง และบรรยายที่มาแหล่งหินต่างๆให้ฟัง นอกจากนี้ก็จะมีการร้องเพลงพื้นบ้านของเกบิเคให้ฟัง เพลิดเพลินไปอีกแบบ ใช้เวลาไปกลับรวม 90 นาที

ไกด์ค่อนข้างน่ารัก มีความพยายามที่จะสื่อสารแต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย มีการร้องเพลงพื้นบ้านให้เราฟังระหว่างการบรรยาย ส่วนเรือนั้นค่อย ๆ ไหลไปตามน้ำเรื่อย ๆ ด้วยความที่น้ำไม่ลึก และเรือมีขนาดใหญ่ การล่องเรือของเราจึงเป็นไปอย่างมั่นคง และปลอดภัยค่ะ ระหว่างการล่องเรือก็จะมีการแวะให้ดูตามโขดหินต่าง ๆ ซึ่งจะมีตำนานของเขาที่จะเล่าให้เราฟัง (เป็นภาษาญี่ปุ่น) วันที่เราไปเนื่องจากเป็นช่วง Low season ของการล่องเรือ และฝนตก ทำให้คนค่อนข้างน้อย แต่ก็ใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีค่ะ 


มื้อเที่ยง

หลังจากล่องเรือเสร็จ เราแวะซื้อข้าวระหว่างทาง เป็นร้าน Delivery / Take away คือไม่มีที่นั่งให้ลูกค้า หลังจากเราซื้อเสร็จก็นำมายืนกินที่สถานีรถไฟระหว่างรอรถไฟเพื่อเดินทางไปวัด Motsuji กันค่ะ


Motsuji Temple

เป็นวัดที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี 2011 วัดนิกายเทนได จุดเด่นอยู่ที่ สวนดินบริสุทธิ์ ที่หลงเหลืออยู่ไม่กี่แห่งในญี่ปุ่น สวนดินบริสุทธิ์ เป็นสวนที่นิยมสร้างในยุคเฮอัน (พ.ศ. 1337-1728) ตามความเชื่อทางพุทธศาสนา ส่วนพระประธานของวัดนี้คือ พระยาคุชิเนียะไร มีความเชื่อว่า ขอเรื่องสุขภาพและความแข็งแรงได้ แต่เนื่องจากวันที่ไปวัดปิดปรับปรุ่งในหลายส่วน แนะนำให้มาในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี หรือช่วงซากุระ จะสวยมากค่ะ 

นอกจากนี้ทางหน้าวัดยังมีร้านขนมแบบญี่ปุ่นให้ลองชิมดู เราจึงลองโมจิกับชาเขียว ซึ่งเป็นรสชาติที่ไม่คุ้นเคยมาก ๆ ค่ะ แต่ถือได้ว่าชาร้อน ๆ กับอากาศเย็น ๆ เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และอุ่นขึ้น ดังนั้นหากใครหลงมาในหน้าหนาวก็สามารถแวะทานชาร้อน ๆ ก่อนที่จะเดินทางกลับได้นะคะ 

หลังจากเที่ยวชมวัดเรียบร้อย เราจึงเดินทางกลับ Akita ด้วยการนั่งรถไฟจากสถานี Hirazumi ไปยันสถานี Akita ก่อนจะเดินทางกลับโรงแรม เพื่อเก็บของสำหรับเดินทางกลับประเทศไทยในวันพรุ่งนี้


Day 5 | 17 กุมภาพันธ์ 2020

เดินทางจากสถานี Akita ด้วยชินคันเซ็นสาย Komachi10 ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงถึงสถานีโตเกียวและต่อรถไฟ N’EX (Narita Express) เพื่อเดินทางเข้าสู่สนามบินนาริตะ โดยขากลับเรายังคงบินกับสายการบิน Nok scoot เที่ยวบินที่ 13:15 โดยถึงกรุงเทพ 18:00 โดยประมาณตามเวลาท้องถิ่น

ของขึ้นชื่อประจำเมือง

น้องหมาอากิตะ หรือพันธุ์ Akita Inu

น้องเป็นเหมือน Mascot ประจำเมืองอากิตะ ไปทางไหนก็เจอ แต่ด้วยพื้นฐานน้องเป็นสุนัขที่ค่อนข้างรักสันโดษ การที่น้องมาอยู่ประจำจุดท่องเที่ยวก็อาจจะไม่ค่อยร่าเริงเท่าไหร่

ถึงน้องจะไม่เล่นด้วย แต่ไม่เป็นไรค่ะ เราจะเห็นสินค้าน้องอากิตะเต็มไปหมด ถือว่าเอามาเล่นย้อมใจที่โดนน้องเมินก็ได้นะคะ

สรุปค่าใช้จ่ายต่อคน

ค่าเดินทาง ค่าตั๋วเครื่องบินสายการบิน Nok Scoot ไปกลับ 8,000 บาท
JR East pass 5 days 5,501 บาท
Mt.Moriyoshi Sightseeing Pass (Winter) 1,507 บาท
ค่าที่พัก APA Hotel Akita-Senshukoen (4 คืน) 3,318 บาท
ค่าสถานที่ Yokote Castle 100 yen 31 บาท
Motsuji Temple Pass 500 yen 151 บาท
ค่าล่องเรือเกบิเค 1600 yen 483 บาท
อื่นๆ ค่าอาหาร 5 วัน 4 คืน (25,000 yen) 7,538 บาท
รวมทั้งหมด 26,529 บาท
ค่าเดินทาง
ค่าตั๋วเครื่องบินสายการบิน Nok Scoot ไปกลับ 8,000 บาท
JR East pass 5 days 5,501 บาท
Mt.Moriyoshi Sightseeing Pass (Winter) 1,507 บาท
ค่าที่พัก
APA Hotel Akita-Senshukoen (4 คืน) 3,318 บาท
ค่าสถานที่
Yokote Castle 100 yen 31 บาท
Motsuji Temple Pass 500 yen 151 บาท
ค่าล่องเรือเกบิเค 1600 yen 483 บาท
อื่นๆ
ค่าอาหาร 5 วัน 4 คืน (25,000 yen) 7,538 บาท
รวมทั้งหมด 26,529 บาท

สรุปตารางท่องเที่ยว