• เตรียมตัวก่อนเดินทาง
  • รีวิวท่องเที่ยว
  • ของขึ้นชื่อประจำเมือง
  • สรุปค่าใช้จ่ายต่อคน
  • สรุปตารางท่องเที่ยว
4 วัน 3 คืน

รีวิว เคาท์ดาวน์ที่ เซี่ยงไฮ้ 6 วัน 5 คืน

วันที่เขียน 08/07/2020
ยอดเข้าชม

572

รีวิว เคาท์ดาวน์ที่ เซี่ยงไฮ้ 6 วัน 5 คืน

วันที่เขียน

08/07/2020

ยอดเข้าชม

572

#Shanghai #ท่องเที่ยว

เรียบเรียงโดย PinTrip

ไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยว.. ของคนรุ่นใหม่

เตรียมตัวก่อนเดินทาง

ตั๋วเครื่องบิน

เราแพลนเดินทางวันที่ 28/12/19 - 01/01/20 เริ่มจองตั๋ววันที่ 17/12/19

  • ขาไป: จองสายการบิน china southern airlines เนื่องจากราคาไม่แพงและได้บินวันที่ 28 ตามที่วางไว้ 6000 บาท)
  • ขากลับ: จอง Thai Lion Air เนื่องจากราคาไม่แพงเช่นเดิม และได้เครื่องลำใหญ่ ที่นั่ง 3-3-3 ต่อแถว


ที่พัก

เราเริ่มหาที่พักวันที่ 17-18 โดยเล็งแถวถนน Nanjing ไว้ เพราะเป็นย่านที่เดินเล่นก่อนเข้าที่พักได้และเดินทางสะดวก แต่โรงแรมส่วนมากเต็มและราคาสูง เลยไปดู Airbnb แทน ปรากฏว่ามีห้องน่าสนใจอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หรือ อพาร์ทเม้นท์ ได้มา 4-5 ที่เลยทักเจ้าของห้องไปมี 3 ที่เข้าพักไม่ได้ เขาแจ้งว่าทางเข้าต้องมีบัตรประชาชนจีน (ซึ่งเป็นห้องที่น่าสนใจมาก ฮือๆ) เหลืออีก 2 เจ้า มีเจ้าหนึ่งห้องสวยเลยตัดสินใจจอง ได้มา 4 คืนในราคา 7200 บาท (อยู่ได้ 3-4 คน)


ตั๋วเข้าสถานที่ต่างๆ

ปกติเราจะจองผ่าน Klook ทั้งหมด เนื่องจากไม่เคยมีปัญหาและได้ตั๋วราคาถูก ไม่ต้องเสียเวลาจองหน้างานด้วย รอบนี้เรามีตั๋ว 2 ใบ คือ Disneyland และ ตึก Shanghai World Financial Center


วีซาจีน

เราจองตั๋วเครื่องบินวันที่ 17 ซึ่งเดินทางวันที่ 28 เวลาค่อนข้างกระชั้นชิดมาก เลยจ้างบริษัททำวีซ่าราคาคนละ 2100 บาท

Visa ที่ทำเป็นแบบ Single Entry คือ เข้า-ออกครั้งเดียว ปกติถ้ายื่นทำ Visa เองราคา 1500 บาท ถือว่าบริษัทคิดค่าดำเนินการ 600 บาท ถือว่าถูกทีเดียว (ถ้าเข้าใจไม่ผิด เป็นวีซ่าที่ทำจะเป็นแบบบุคคล ซึ่งจะมีวีซ่าอีกประเภทเป็น วีซ่ากลุ่ม ปกติบริษัททัวร์ที่ทำ Visa กลุ่มให้ลูกทัวร์ซึ่งราคาน่าจะถูกกว่าแต่มีโอกาศติด ตม. ที่จีน มั้งนะ)

หลังจากจองตั๋วเครื่องบินเสร็จเราก็รีบไปถ่ายรูปแถวบ้านต่อ จากนั้นวันที่ 18 ไปกรอกเอกสารเพิ่มที่บริษัท สิ่งที่เราเตรียมไปเพื่อกรอกเอกสารจะมี Passport, ตั๋วเครื่องบิน, รูปภาพ, บัตรประชาชน จริงๆ ต้องมีที่พักด้วยแต่ยังไม่ได้จองทางบริษัทก็จัดการให้ จากนั้นทางบริษัทก็รับเอกสารและแจ้งว่า วันที่ 24 จะได้วีซ่า ซึ่งพอถึงวันที่ 24 บริษัทก็ LINE มา ให้มารับ Passport คืน

สภาพอากาศ

อุณหภูมิตอนเช็คอยู่ที่ประมาณ 10 องศา ตอนไปเราเตรียมลองจอห์น (Base layer / Heattech) , เสื้อกันหนาวแบบป้องๆ ไป (The North Face 700 down), ถุงมือ The North Face แบบ Touch screen และ ผ้าพันคอ ตอนไปจริงอากาศต่ำสุดอยู่ที่ -2 องศา ซึ่งเป็นวันที่เราเน้นถ่ายรูปที่ The bund พอดี มือเย็นมากแทบจะแข็ง (ถุงมือก็กันไม่อยู่) แนะนำให้เตรียมเผื่อไปเยอะๆ ดีกว่า อากาศเย็นและลมแรงพอสมควร

ค่าครองชีพ

ค่าครองชีพเมืองนี้ใกล้เคียงกับประเทศไทย ค่าอาหารเหมือนกินตามห้างบ้านเรา แต่ค่ารถไฟถูกกว่าพอสมควร

ภาษาที่ใช้

คนส่วนมากพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ต้องใช้ Google transalate ช่วยอีกที 

อินเทอร์เน็ต

เราซื้อซิมจากประเทศไทยไปทั้งหมด 2 ค่าย คือ Travel Sim ของ True และ Sim2fly ของ AIS แง่การใช้งานจริงรู้สึกว่าไม่แตกต่าง ทั้ง 2 ค่ายสามารถจับสัญญาณได้ดี มีบางจังหวะความเร็วช้าบ้างแต่น้อยครั้งจนแทบไม่รู้สึก (ไวไฟที่พักเหมือนจะใช้งานไม่ได้)

รีวิวท่องเที่ยว

เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ประเทศจีน ไม่เคยคิดว่าจะได้ไปจีนอีกในเร็วๆ นี้ แต่เนื่องจากมีเหตุจำเป็นเลยจองตั๋ว ที่พัก และทำแพลนแบบเร็วๆ ใน 7 วัน ตอนแรกตั้งใจจะไปเกาหลีแต่ราคาตั๋วแพงไปนิด เพราะจองใกล้ๆ ปีใหม่   สรุปลงเอยที่ เซี่ยงไฮ้แทน (Shanghai) ไปวัน 6 วัน 5 คืน ค่าใช้จ่ายรวม 20,000 บาท/คน


Day 1 | ออกเดินทาง

ออกเดินทางจากสุวรรณภูมิ สายการบิน China Southern Airlines ไปลงที่ Wuhan China แล้วต่อเครื่อง (Transit) จาก Wuhan ไปลง Shanghai ตอน Check-in ที่สุวรรณภูมิต่อคิวรอชั่วโมงได้ จากนั้นเข้าไปนั่งรอหน้า Gate 


ประสบการณ์ตกเครื่อง

กำหนดการเครื่องขึ้นเวลา 02.10 ไปถึง 6.30 ปรากฏว่าเครื่องบินดีเลย์และไม่มีการบอกว่าจะมาถึงตอนไหน จนกระทั่งเกือบๆ 02.30 เรียก Boarding ขึ้นเครื่อง และเครื่องออกจริงน่าจะราวๆ ตี 03.00 ความซวยบังเกิดเนื่องจากถึงสนามบิน Wuhan ประมาณ 7.30 และต้องต่อเครื่องตอน 8.10 (เวลาเครื่องออก) คือมาถึงสนามบินมันก็น่าจะเรียก Boarding แล้ว หลังจากลงสนามบิน สายการบินบอกให้เราไปเอากระเป๋าเองแล้ว Check-in ใหม่ (แบบนี้น่าจะไม่ใช่ Transit มั้ง  


เปลี่ยนเส้นทางไปลงสนามบินซ่างไห่หงเฉียว (Shanghai Hongqiao International Airport)

ที่เคาเตอร์ Check-in พนักงานบอกว่าเครื่องจะออกแล้ว เรามาช้าต้องนั่งไฟล์อื่นแทน โดยเสนอให้เลือก 2 ที่

  1. ลงที่ Shanghai Pudong Airport (PVG) คือปลายทางเดิมที่เราจะไป แต่ได้รอบ 15.00 ซึ่งต้องรอนานมาก
  2. ลงที่ Shanghai Hongqiao International Airport ได้รอบ 8.50 คือเรียก Boarding แล้ว ถ้าไปต้องรีบหน่อย

เราลังเลว่าจะไปสนามบินซ่างไห่หงเฉียว แต่ไม่มั่นใจลงแล้วนั่งรถเข้าเมืองยังไงดี เลยนั่งดูแผนที่คิดว่าไม่ไกลจากที่พักมากนั่ง Taxi คงพอไหว เลยตัดสินใจเลือกที่นี่ หลังได้ตั๋วเสร็จต้องไปเคาเตอร์โหลดกระเป๋าใหม่ พนักงานเกือบไม่ให้เพราะมาช้าแต่สุดท้ายเขาก็ยอมให้โหลดกระเป๋า หลังจากนั้นก็รีบวิ่งไปที่ Gate น่าจะเหนื่อยสุดของทริปนี้แล้วแหละ กลัวตกเครื่องอีกรอบ ถ้ารอบนี้ตกเครื่องอีกคงอดเที่ยวเลยเพราะกระเป๋ามันขึ้นเครื่องไปแล้ว   


สนามบินซ่างไห่หงเฉียว (Shanghai Hongqiao International Airport)

ในที่สุดก็ถึงสนามบิน Shanghai Hongqiao International Airport เราเดินไปเอากระเป๋าจากนั้นจะออกจากสนามบิน เดินไปเดินมาก็ถึงทางออกแบบงงๆ ไม่มี ตม. ตรวจ แล้วโชคดีมากมี Metro (รถไฟ) ที่สนามบินนี้พอดี ที่โชคดีกว่านั้นคือนั่ง Metro ที่นี่ใกล้กว่านั่งจากสนามบินซ่างไห่ผู่ตงด้วย (Shanghai Pudong Airport)


Metro

ตั๋วรถไฟมี 2 ประเภท คือรายรอบกับรายวัน เครื่องซื้อตั๋วแบบนี้มีขายแต่รายรอบเท่านั้น บางเครื่องไม่รับแบงค์ด้วยนะ ต้องลองดูดีๆ ในหน้าจอจะมีบอกว่ารับแบงค์ หรือเหรียญอะไรบ้าง ค่าตั๋วจากสนามบินไป East Nanjing Road ราคาประมาณ 7 หยวน ค่อนข้างถูกทีเดียว


เข้าที่พัก (AIRBNB)

มาถึงสถานี East Nanjing Road ประมาณ 12.00 เราก็ตรงไปเข้าที่พัก แต่ยังเข้าไม่ได้เนื่องจากแม่บ้านทำความสะอาดอยู่เลยขอฝากกระเป๋าไว้ก่อน เนื่องจากรีบเลยลืมถ่ายสภาพตึกที่พัก ทางเข้าจะเป็นซอยเดินเข้าไปประมาณ 400m ในซอยก็จะมีอพาร์ทเม้นท์ หลายตึก ทุกตึกค่อนข้างเก่ามากๆ

สภาพห้องเหมือนกับในรูปที่ถ่ายบนเว็บไซต์ Airbnb ถือว่าพอใช้ได้ในแง่ความสะอาดและสวยงาม แต่สภาพตึกเก่ามากค่อนข้างอันตรายถ้าเป็นผู้หญิงแล้วมาพักคนเดียว


สำรวจรอบที่พัก

หลังจากเราฝากกระเป๋าตอนประมาณ 12.30 ก็ไปสำรวจเส้นทางรอบๆ ที่พัก เจอ Family Mart ค่อนข้างใหญ่เลยแวะกินข้าวเที่ยงก่อน หลังจากนั้นเราก็ไปซื้อตั๋ว Metro ที่สถานี East Nanjing Road ต้องต่อคิวซื้อกับพนักงาน ตั๋วที่ซื้อเป็นแบบราย 3 วัน ราคา 45 หยวน เมื่อได้ตั๋วแล้วเราก็ไปวัด Jing’an Temple เป็นที่แรก นั่ง Metro สาย 2 มาลงสถานี Jing’an Temple


วัดจิ้งอัน (jing'an temple)

วัดนี้มีค่าเข้าสถานที่คนละ 50 หยวน คนค่อนข้างเยอะ ต่อคิวประมาณ 10 - 20 นาที ด้านในจะมีจุดไหว้พระ เดินเล่น ถ่ายรูป ใช้เวลาในนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นเรากลับที่พักเพื่อเอากุญแจและพักผ่อน เนื่องจากเหนื่อยมาทั้งวัน


ถนนนานจิง (Nanjing Road)

ช่วงเย็นประมาณ 17.00 เราออกจากที่พักไปเดินเล่นถนน Nanjing ย่านนี้เป็นถนนคนเดิน สามารถเดินได้ทั้งกลางวันและกลางคืน อากาศเย็นสบาย ผู้คนพลุกพล่าน มีร้านค้า ร้านอาหาหารมากมายหลังจากเดินเล่นถ่ายรูปแล้ว


Macau Por King

ถึงเวลาข้าวเย็นกันบ้าง เราเดินมาเจอร้านนี้ดูน่าสนใจเลยเข้าไปลอง ราคาอาหารกลางๆ ถือว่าไม่แพงในย่านนี้ จานละ 150 - 400 บาท มื้อนี้กิน 3 คน ประมาณ 800 บาท หมูแดงอร่อยทีเดียว อีกจานเป็นไก่ผัดทุเรียนลองสั่งมาเห็นแปลกดีรสชาติก็พอได้นะ   


Shop Adidas

หลังกินข้าวเสร็จเดินเล่นต่อ ถนนนี้มีร้านขายเสื้อกันหนาวค่อนข้างเยอะ ที่นี่มี Shop Adidas ที่ใหญ่มากมีรองเท้าดีไซน์แปลกๆ ใหม่เยอะ เช่น Addidas NMD รุ่น Starwar ถ้าจำไม่ผิดราคาประมาณ 3000 บาท ถูกกว่าในไทยมาก นอกจาก Shop Addidas แล้วยังมีร้าน Zara ที่ค่อนข้างใหญ่มีถึง 3 ชั้น และราคาถูกกว่าในเมืองไทย เราเลยเดินซื้อของจนร้านปิด จากนั้นกลับที่พักนอน Zzz


Day 2 | เมืองโบราณ

เช้าวันที่ 2 เราตื่นกันประมาณ 8.00 แวะกินข้าวเช้าแถวๆ ที่พักก่อน เป็นร้านขายเสี่ยวหลงเปา

เราชอบกินของร้อนในที่อากาศหนาวๆ   


เมืองโบราณจูเจียเจี่ยว Zhujiajiao

หลังกินข้าวเสร็จก็เดินทางไปเมืองโบราณ Zhujiajiao จาก East Nanjing Road ไปลง Hongqiao Railway Station จากนั้นต่อ Metro สาย 17 ไปลง Zhujiajiao ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.

จากสถานี Zhujiajiao ต้องเดินต่อไปเมืองโบราณประมาณ 1.5 กม. ทางเดินค่อนข้างดี อากาศเย็นสบาย มีลมแรงพอประมาณ 

หน้าทางเข้าจะมีตั๋วให้ซื้อสำหรับคนที่ต้องการดูสถานที่บางแห่งเพิ่ม หลังซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าชมสถานที่กันเลย สำหรับคนที่ไม่ได้ซื้อตั๋วสามารถเข้าสถานที่ได้เช่นกัน (เราก็ไม่ได้ซื้อ)

ด้านในจะแบ่งเป็น 2 ฝั่งมีสะพานให้ข้าม รอบด้านเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหาร

มีเรือให้นั่งด้วยนะ แต่ต้องซื้อตั๋วเพิ่มจากทางเข้า

หลังจากถ่ายรูปเสร็จสักพักเริ่มหิวเลยหาร้านอาหาร ไม่รู้เลยควรกินร้านไหนดีเลยสุ่มเอาละกัน ร้านนี้คนเยอะดีเลยเข้าไป

เห็นโต๊ะอื่นสั่งกุ้งเลยสั่งตาม เป็นกุ้งต้มน้ำเกลือ ตัวเล็กมากๆๆๆ แถมราคาแพง มื้อนี้น่าจะประมาณ 1000 บาท มีกุ้ง, ไข่เจียว และ เป็ด ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร เลยไม่ได้ถ่ายรูปหน้าร้านมา 555

หลังจากกินข้าวเสร็จก็เดินเล่นถ่ายรูป เรื่อยเปื่อย ภายในเมืองค่อนข้างกว้างทีเดียว


ร้านขนม Choc choc

ระหว่างเดินเล่นผ่านร้านขนมน่าสนใจเลยแวะเข้าไปชิม ร้านนี้ค่อนข้างใหญ่ตกแต่งสวยงาม รสชาติใช้ได้ทีเดียวราคาประมาณ 150-200/เมนู


โกโก้เข้มข้นออกแนวขมจืดด้วยซ้ำต้องใส่ไซรัปเพิ่ม ฮ่าๆ

หลังกินขนมเสร็จก็เดินทางกลับ เราเดินกลับไปขึ้น Metro เช่นเดิม จริงๆ สามารถขึ้นรถบัสได้แต่เราไม่ชัวเนื่องจาก Google maps ไม่บอกข้อมูลการเดินทางเกี่ยวกับรถบัสเลย (จีนน่าบล็อคข้อมูลมั้ง) ใช้เวลาเดินเล่นราวๆ 3 - 4 ชั่วโมง


สวนอวี้หยวน (Yuyuan garden)

จาก Zhujiajiao สาย 17 นั่งไปลง Hongqiao Railway Station แล้วต่อสาย 10 ไปลงที่ Yuyuan Garden เมื่อถึงสถานีปลายทางเวลาประมาณ 4 - 5 โมงเย็น ฟ้าเริ่มมืด เราเดินไปตามแผนที่ปรากฏว่าสวนปิดแล้ว เลยเดินกลับไปที่โซนร้านค้าแทน เดินเล่น ถ่ายรูป มีของขายมากมายสามารถซื้อของฝากแถวนี้ได้


ร้านเสี่ยวหลงเปา

จากที่หาข้อมูลมาย่านนี้มีร้านเสี่ยวหลงเปาเจ้าดัง เดินหาไม่ค่อยถูกเลยถามคนแถวนี้เอา จนมาเจอร้านนี้ (ไม่รู้ว่าใช่ร้านดังรึป่าวนะ  )

ก่อนเจอร้านนี้มีร้านอื่นขายเยอะเหมือนกัน แอบเห็นราคาร้านนึงราคาลูกนึง 15 หยวน แต่ร้านนี้แพงกว่ามาก ลูกละ 30 หยวน ต้องลองสักหน่อย !!

วิธีกินที่คือใช้หลอดเจาะแล้วดูดน้ำข้างใน ด้านในร้อนมากระวังปากพอง รสชาติก็ถือว่าดี จริงๆ เวลาเที่ยวเมืองอากาศเย็นกินอะไรร้อนๆ ก็อร่อยหมดแหละ 555


ร้านขนมหวาน

ขากลับผ่านร้านขนม เลยจัดต่อเพราะพวกเราชอบกินมะม่วง   


ถนนนานจิง (NANJING ROAD)

หลังจากกินอย่างเพลิดเพลินก็ถึงเวลากลับ นั่ง Metro ไปลง East Nanjing Road แล้วเดินถนน Nanjing ต่อ ยังคงเข้าร้าน Zara เช่นเดิม เนื่องจากยังตัดสินใจซื้อของไม่ครบ 555


มื้อค่ำกับอาหารฝรั่ง

เมื่อซื้อของเสร็จแล้วก็ถึงมื้อเย็น คราวนี้มาลองอาหารฝรั่งบ้าง เป็นร้านสปาเก็ตตี้ จำชื่อไม่ได้อยู่บนห้าง

ราคาประมาณ 50-60 หยวน/จาน อร่อยใช้ได้เลย เมื่ออิ่มแล้วก็ได้เวลากลับที่พักนอน พรุ่งนี้เตรียมตื่นแต่เช้าไป Disneyland กะว่าไปถึงสัก 8.30 ตอนเปิดพอดี หวังว่าคนจะไม่เยอะมาก (เราไปวันที่ 30 ธค กะว่าคนไปเยอะวันที่ 31 ธค แน่เลย)


Day 3 | Disneyland

จากสถานี East Nanjing Road สาย 2 นั่งไปลง Longyang Road แล้วต่อสาย 16 ไปลง Luoshan Road แล้วต่อสาย 11 ไปลง Disney Report  ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.

ทางเข้า Disneyland จะต้องผ่านจุดตรวจกระเป๋าก่อน ยกเว้นคนที่ไม่มีกระเป๋าเลยจะสามารถผ่านจุดตรวจได้เลย แล้วมาต่อแถวรอเข้าสวนสนุก

คนเยอะมากๆๆ จากในรูปคือแถวต่อคิวที่ผ่านจุดตรวจมาแล้ว เมื่อถึงคิวเรายื่น QRCode และ Passport ที่จองมาจาก Klook พนักงานก็ให้ตั๋วเข้ามา


FAST PASS

แนะนำให้โหลดแอป Disney Resort เป็นแอปสำหรับดูแผนที่ Disneyland และไว้จอง Fast pass สำหรับเครื่องเล่นต่างๆ ปกติจะจองได้ทุกๆ 1 - 2 ชั่วโมง ยกเว้นวันหยุดที่คนเยอะๆ (หากเข้าใจไม่ผิด รอบที่เปิดให้จอง Fast pass จะมี 1 รอบ ซึ่งถ้าหากเต็มแล้วก็จะจองไม่ได้อีก) 

เมื่อเข้าสวนสนุกได้แล้วเราจะเริ่มจอง Fast pass ละ ปรากฏต้องสมัครสมาชิกก่อน (ลำบากจริง ฮือ) แนะนำให้สมัครก่อนมาถึงเนอะ เราตั้งใจจะจองเครื่องเล่นที่คิดว่าคนจะเยอะๆ เช่น Tron, Soaring Over the Horizon แต่ปรากฏว่าเต็มหมด เลยไปกดจอง Peter Pan’s Flight ได้เวลา 12.30 - 13.30 (สามารถใช้ Fast pass ได้ช่วงเวลานี้) และเป็นครั้งเดียวที่จองได้ หลังจากนั้นไม่นานทุกเครื่องเล่นไม่สามารถจองได้เลย

ใครที่ไปถึงแนะนำให้รีบกดจองเลย เพราะจองแล้วมันไม่ได้เล่นตอนนั้นทันที เราจะได้มีเวลาวางแผนเล่นเครื่องอื่นๆ รอได้


Tomorrowland Zone

โซนนี้มีเครื่องเล่นน่าสนใจ 2 เครื่อง คือ Tron และ Buzz Lightyear เนื่องจาก Tron ต้องรอนานถึง 75 นาที จึงตัดสินใจไปเล่น Buzz Lightyear ที่รอเพียง 20 นาทีเท่านั้น เป็นรถรางให้นั่งแล้วมีปืนเลเซอร์ให้ยิงเก็บคะแนน คะแนนจะแสดงบนหน้าจอ (ดันรู้ตอนเล่นจบแล้ว ไม่ได้ดูเลยว่าได้คะแนนเท่าไร ฮ่าๆ)

Tron ยังคงสถิติรอนาน 75 นาทีและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วน Soaring Over the Horizon ก็รอนานไม่แพ้กัน เราเลยขอไปต่อที่โซน Toy Story ไปเดินเล่นถ่ายรูป


Toy Story Zone

ผ่านร้านขายของกินเล่น เลยแวะไปดูกลิ่นหอมมาก ที่แท้คือไก่งวง กล่องนี้ 100 หยวน ราคาในนี้มันแพงกว่าข้างนอกมาก แต่คุณภาพคือดีนะ โอเค อร่อยเลย


Pirates of the Caribbean Battle for the Sunken Treasure

กินเสร็จก็มุ่งตรงไปที่ Pirates of the Caribbean Battle for the Sunken Treasure เนื่องจากกลัวเล่นเครื่องเล่นดีๆไม่ครบ เลยจำใจไปต่อคิว ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 40 นาที ด้านในเป็นการนั่งเรือและเห็นฉากต่างๆ อลังการมาก 

เราจัดให้เป็นอันดับ 1 ของเครื่องเล่นทั้งหมด มันอลังการมากจริงๆ ให้ Tron เป็นอันดับ 2 เพราะตัวรถที่นั่งออกแบบเหมือนในหนังจริงๆ


ล่องเรือ Explorer Canoes

หลังจากนั้นเราไปล่องเรือ Explorer Canoes เนื่องจากรอไม่นานมาก เป็นการนั่งเรือยาววนรอบเกาะ ซึ่งเราจะเป็นคนพายเรือเอง ไม่พายก็ได้มีพนักงานพายให้ แต่ส่วนใหญ่ก็ช่วยกันพายนะ ฝรั่งด้านหลังพายกันแบบจัดเต็มมาก น้ำกระเด็นใส่รัวๆ  

ถ้าไม่ได้ชอบการพายเรืออะไรมากมาย แนะนำให้ข้ามเครื่องเล่นนี้ไป   


Peter Pan’s Flight

ถึงเวลาเล่น Peter Pan’s Flight ที่เราจอง Fast pass สักที โอ้ว เครื่องเล่นนี้คนปกติรอ 75 นาที ส่วนเราไม่เกิน 15 นาที รวดเร็วทันใจ... นั่งเรือเหาะชมวิว เพลินๆ


มื้อกลางวัน

เราเข้าไปกินร้านอาหาร จำชื่อไม่ได้ ในนั้นมีร้านย่อยๆ ภายในสุดท้ายจบที่ไก่งวงเช่นเดิม ดูน่ากินที่สุดแล้วล่ะ ฮ่าๆ


TRON

เมื่อท้องอิ่มเราก็พร้อมที่จะต่อคิวเล่น Tron กันแล้ว คร่าวนี้รอ 165 นาที นานจริงไรจริง เราก็ต่อคิวไปครับ ได้ข่าวว่าของดี มาถึงแล้วไม่ได้เล่นก็เหมือนมาไม่ถึง 555

แอบสังเกตการทุกคนเมื่อขึ้นเครื่องแล้ว กรี๊ดทุกขบวนเมื่อรถออกตัว...

พอถึงคิวเราก็เข้าไปนั่งประจำที่ ตอนออกตัวเร็วมากๆ แต่พอพ้นจุดออกตัวแล้วความเร็วลดลงอยู่ในระดับปกติ ตัวรางจะมีทั้งภายนอกและภายในโดม ภายในจะมืด แต่พอมองเห็นบ้าง เวลาที่เล่นจริงน่าจะราวๆ 1 นาที มั้ง ... ต่อคิวไป 2-3 ชม. (ไม่รู้ว่าคุ้มหรือเปล่า  

แนะนำให้เล่นเป็นเครื่องเล่นแรกๆ ถ้าเห็นว่ารอต่ำกว่า 100 นาที รีบไปต่อคิวเลยนั่นคือคนน้อยแล้ว

เล่น Tron เสร็จ เวลาประมาณ 15.00 กว่าๆ เราไปดูการแสดงหน้าปราสาทต่อ ช่วงเวลาที่แสดงเริ่มประมาณ 15.30 สามารถดูเวลาผ่านแอป Disnet Resort ได้


ปราสาทดิสนีย์แลนด์

หลังการแสดงจบเราเข้าชมภายในปราสาทดิสนี่ มีกระจกวิเศษ, เจ้าหญิงสโนไวท์, คนแคระ และอื่นๆ

เราไม่ลงรูปแบบละเอียดนะ ไว้เข้าไปดูเองจะตื่นเต้นกว่า


Adventure Zone

ต่อจากชมประสาท เราเดินไปเล่นโซน Adventure ต่อ ช่วงดึกลมค่อนข้างแรง อากาศหนาวเลยแหละ


Soaring Over the Horizon

เครื่องเล่นที่เป็น Highlight อีกที่ คือ Soaring Over the Horizon ต่อคิวรอเกือบๆ 3 ชม เครื่องเล่นนี้เป็นการนั่งเก้าอี้พาเราดูภาพ 3 มิติ ในเมืองต่างๆ ทั่วโลก

Credit: https://wanderdisney.com/item/soaring-over-the-horizon


การแสดงไฟที่ปราสาทดิสนี่ (21.00 - 21.20)

ปิดท้ายด้วยการแสดงไฟที่ปราสาทดิสนี่ตอน 21.00 - 21.20 คนเยอะมาก หามุมถ่ายรูปไม่ได้เลย  

เมื่อจบการแสดงทุกคนก็มุ่งหน้ากลับ โดยวันนี้ Metro สาย 11 ปิดตอน 22.00 ต้องรีบสักหน่อย ไม่งั้นไม่มีรถกลับ... มาถึงย่าน Nanjing แถวโรงแรมก็แวะ KFC เป็นมื้อดึกก่อนกลับห้อง


Day 4 | The bund

วันนี้ตื่นเกือบ 10.00 ทีเดียว เนื่องจากเหนื่อยติดกันหลายวัน วันนี้มีแพลนไป The bund ที่เป็นเมืองยุโรป ซึ่งเราจะเดินตามหาด Waitan ก่อนไปเราก็แวะกินข้าวแถบ Nanjing แล้วเดินต่อไปหาด Waitan


หาดไว่ทัน (Waitan)

หาด Waitan ไม่ใช่ชายหาดจริงๆ แต่เป็นเหมือนถนนเลียบแม่น้ำยาวเป็นกิโลเมตร ฉากหลังเป็นบ้านเมืองสไตล์ยุโรป สวยงามมากๆ ฝั่งตรงข้ามเป็นย่ายธุรกิจ มีตึกสูงมากมาย

อากาศตอนเช้าหนาว และลมแรงมาก


The Bund

หลังจากเดินเล่นถ่ายรูปแถวหาด Waitan แล้ว เราก็จะข้ามไปอีกฝั่งเพื่อถ่ายรูปและขึ้นตึก Shanghai World Financial Center (SWFC) โดยนั่ง Metro จาก East Nanjing Road ไปลงสถานี Lujiazui

เมื่อลงจากสถานีจะใกล้ตึกไข่มุขและวงเวียน ซึ่งเราจะขึ้นไปถ่ายรูปตรงวงเวียน คนเยอะมากกกก


The butcher club

หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็ได้เวลากินข้าว แถบนั้นจะมีห้าง Super mall และ IFC mall เราเลือกเข้า IFC mall เพราะดูน่าสนใจ เป็นห้างที่อยู่ระหว่างตึกสูง 2 ตึก ดังรูปภาพซ้ายด้านบน 

ห้างค่อนข้างหรูหรา มีแบรนด์สินค้ามากมาย แต่เนื่องจากเวลาน้อยเลยไม่ได้เดินดูของสักเท่าไร

เราเดินเข้ามาตอนแรกจะกินเสี่ยวหลงเปา แต่ดันไปเจอป้ายร้านเบอร์เกอร์ ซึ่งติด มิชเชอลินสตาร์ เลยขอไปลองสักหน่อย 


ชมวิวบนตึก Shanghai World Financial Center (SWFC)

หลังจากกินข้าวเสร็จฟ้าเริ่มมืด (ประมาณ 4-5 โมง) เราเลยไปขึ้นตึกสูงเพื่อชมวิวต่อ ในย่ายนี้มีตึกใหญ่ที่น่าชึ้นไปชมวิว 3 ที่

  1. หอไข่มุกตะวันออก (Oriental Pearl Tower) เป็นตึกที่มีรูปร่างแปลกตาคล้ายไข่มุข
  2. เซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ (Shanghai Tower): เป็นตึกที่สูงที่สุด
  3. Shanghai World Financial Center (SWFC) เป็นตึกทรงเหลี่ยมและมีรูปตรงกลางด้านบนตึก คล้ายที่เปิดขวด 

ตึกที่เราจะขึ้นไปชมวิวในครั้งนี้คือตึก SWFC ซึ่งเราจองบัตรเข้าผ่าน Klook ไว้แล้ว


ภายในตึก

บนตึกจะมี 2 ชั้นให้ชมวิว ซึ่งเราไปชั้นที่สูงที่สุดอีกชั้นเป็นชั้นของฝากซะมากกว่า จุดที่ชมวิวจะชมผ่านกระจกซึ่งแบ่งเป็นหลายๆ ช่อง มี 2 ฝั่ง ซึ่งจะเห็นฝั่ง Lujiazui และ The Bund

เราใช้เวลาถ่ายรูปชมวิวในนี้ประมาณ 1 - 1.5 ชม หลังจากนั้นจะกลับฝั่ง Nanjing เพื่อเดินเล่นกินข้าวและรอเคาร์ดาวขึ้นปีใหม่


แวะกินขนมก่อนกลับ

ขากลับอากาศหนาวและลมแรงมาก เราหิวน้ำเลยแวะ IFC Mall อีกรอบ ลงไปขั้นล่างที่มี Supermarket และไปเจอร้านขนมหวานอีกเช่นเคย

ร้านนี้เราลองเค้กและช็อกบอล (Dark chocolate mocha) อร่อยมากกกกก ดีกว่าที่เมืองโบราณเยอะเลย หลังจากเสร็จกิจเราก็นั่ง Metro กลับ Nanjing สักที จากนั้นเราไปกินข้าวซื้อของฝากและเข้าที่พักรอใกล้ๆ เคาร์ดาวค่อยเดินออกไปอีกที


Happy new year 2020

เราออกจากที่พักตอนประมาณ 23.15 แล้วเดินไปทางหาด Waitan เพื่อจะดูแสงสีเสียง ฝั่ง Lujiazui คนออกมากันค่อยข้างเยอะ แต่ยังพอเดินได้ ตอนที่ไปไต้หวันคือตัวติดกันเลยเดินยากมาก ที่แปลกใจคือ ไม่มีการจุดพลุเลย ไม่ได้มีไฮไลท์อะไรเป็นพิเศษ งานจบแบบไวๆ จากนั้นคนก็ทยอยกลับบ้านแบบ งงๆ    


Day 5 | Xintiandi

วันนี้เราตื่นกัน 10.00 จากนั้น Check out และแบกกระเป๋าไปเพราะขึ้นเครื่องช่วงเย็น เราถามร้านฝากกระเป๋ากับเจ้าของห้อง ได้ความมาจึงตรงไปที่ร้าน ค่าฝาก 25 หยวน/ใบ ไม่จำกัดชั่วโมง

จากแผนที่คือเดินออกจาก Metro ทางออก 3 แล้วตรงไปตามทาง จะเห็นร้านอยู่ซ้ายมือ ฝั่งตรงข้ามทางออก 3 จะเห็น Apple Store ขนาดใหญ่พอดี (ใช้ดูเป็นจุดสังเกตได้เลย)

ร้านฝากกระเป๋า จริงๆ เหมือนร้านขายของทั่วไป เมื่อฝากเสร็จเขาก็วางกระเป๋าเราไว้ในร้านตรงตู้แช่น้ำ ซึ่งคนทั่วไปเดินผ่านไปมาได้ และบอกว่าเราปลอดภัยๆ   


Yuxin Sichuan Dish

หลังฝากกระเป๋าเสร็จก็ได้เวลาข้าวเช้า บังเอิญว่าน้องเราเห็นร้านมิชเชอลินสตาร์เลยบอกว่าไปลองกินกันก่อนกลับ ที่นี่เป็นภัตตาคารจีนโต๊ะค่อนข้างเยอะและดูหรูหรา เมนูเด็ดน่าจะเป็นปลาต้ม เห็นคนสั่งกันเยอะเราเลยลองสั่งดู

เป็นปลาต้มในน้ำมัน ใส่เครื่องเทศสักอย่าง ไม่รู้ด้วยว่าเป็นปลาอะไร แต่น้ำที่เห็นคือน้ำมันล้วนๆ 555 

ลองตักปลามากินคำแรก โอ้ววว อร่อยมาก เนื้อนิ่มๆ ลื่นๆ ไหลเข้าคอ แล้วมีรสชาติเผ็ดเค็มและเครื่องเทศในเนื้อปลา   

เมนูถัดมาเป็นไก่ผัด รสชาติเผ็ดๆ เค็มๆ อร่อยใช้ได้ แต่ติดเค็มไปหน่อย 

ต่อด้วยซี่โครงหมูซอสแดง เมนูนี้ต่างจากเพื่อนเพราะจะออกหวานๆ หน่อย

ปิดท้ายด้วยซุปกุ้งชีส (ไม่ได้ถ่ายรูปมาแหะๆ ) ใครที่มาแถวนี้แนะนำให้ลองมาครับ ราคาไม่ได้แพงอย่างที่คิด รวมๆ มื้อนี้อยู่ประมาณ 1000 นิดๆ ซึ่งปริมาณอาหารถือว่าเยอะทีเดียว กินจนอิ่มก็ยังไม่หมด ฮ่าๆ

ร้านอาหารจะอยู่ชั้นบนตึก หน้าตึกมีป้ายร้านอาหารอยู่และถ้าจำไม่ผิดตรงตรงข้ามตึกเป็น Metro Nanjing Road ทางออก 2


พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (Nature History Museum)

เมื่อทานข้าวเสร็จ เรานั่ง Metro จาก East Nanjing Road ไปลง West Nanjing Road และต่อสาย 13 ไปลง Nature History Museum ประเด็นคือเราซื้อบัตรเป็นรายเที่ยวจาก Nanjing ไป Nature History Museum ซึ่งต้องเปลี่ยนขบวน ซึ่งตอนเปลี่ยนขบวนต้องนอกสถานีซึ่งเงินที่จ่ายไปคือเสียฟรี 

พอออกนอกสถานีก็เจอ Starbuck reserve เลย ซึ่งเราจะกลับมาที่นี่หลังไปพิพิธภัณฑ์เสร็จ ทีนี้ตอนเข้าสถานีและซื้อตั๋วนั่ง Metro สาย 13 ไปลง Nature History Museum ก็พบว่าจริงๆ มันเดินได้นี่หว่าไม่ถึง 1 กม. จะเสียเงินซื้ออีกทำไมเนี่ย 555 (แต่เนื่องจากค่า Metro ที่นี่ถูกมาก ถือว่านั่งรถเล่นละกัน   )

แล้วเราก็ถึงจุดหมาย ซึ่งเราต้องซื้อตั๋วค่าเข้าสำหรับผู้ใหญ่คนละ 30 หยวน แต่หากใครเป็นนักเรียนจะได้ส่วนลดอีก (แสดงบัตรนักเรียน/นักศึกษา) 

การชมสถานที่จะเริ่มจากชั้นบนสุด ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการกำเนิดของจักรวาลหากใครชอบคิดว่าคงสนุกกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อย่างแน่นอน

ถัดลงมาจะเริ่มเห็นกลุ่มดวงดาว เห็นโลก และเริ่มมีสิ่งมีชีวิต ตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์

ลงมาด้านล่างสุดจะมีแร่ธาตุในโลกให้ชม และเป็นจุดพักผ่อนที่คนชอบถ่ายรูป เมื่อเดินชมพิพิธภัณฑ์เสร็จเราก็เดินตรงไปยัง Starbuck reserve ทันที (เข้าใจว่าเป็นสาขา Limited มีไม่กี่แห่งในโลก)


Starbuck reserve roastery

ขนาดค่อนข้างใหญ่มาก มีทั้งหมด 2 ชั้น แต่ที่นั่งก็ไม่เคยพอและราคาก็แพงกว่า Starbuck ปกติเพราะฉะนั้นต้องสั่งเมนูที่ Starbuck ปกติไม่มี ฮ่าๆ คนค่อนข้างเยอะเช่นกัน ต้องต่อแถวเข้าคิวด้วยนะ แต่รอไม่นานเท่าไร เมื่อเข้ามาจะเจอสินค้าวางขายมากมาย จุดเด่นของ Starbuck reserve แห่งนี้ คือการเปิดให้ชมกระบวนการผลิต

เดินมาจนถึงโซนสั่งอาหารสักที เมนูเค้ก / ขนม ค่อนข้างเยอะมาก ถ้าไม่รีบแนะนำให้เดินดูสักรอบจะดีกว่า เพราะบางโซนขนมที่โชว์มีน้อยกว่าเมนูจริง

เราสั่ง Dark chocolate mocha ice และ ครัวซองต์สตอเบอร์รี่และช็อคโกแลตมาชิม รสชาติก็อร่อยเข้มข้น แต่เราว่าราคาสูงไปหน่อยสั่งไปแค่ 3 รายการ ราคาประมาณ 700 บาทได้ 

เมื่อพักผ่อนกินขนมเสร็จยังพอเหลือเวลาก่อนไปสนามบินเราตัดสินใจไปย่าน Xintiandi เป็นย่านที่คนนิยมมาถ่ายรูปกัน ซึ่งอยู่นอกแพลนเรา


ซินเทียนตี้ (Xintiandi)

ย่านนี้มีร้านอาหารค่อนข้างเยอะ ดูหรูหรา แต่เราไม่ได้เข้าไปลองเลยไม่แน่ใจด้านราคาจะเป็นยังไงบ้าง นอกจากนี้ยังมีร้าน LINE Cafe ด้วยนะ แต่เราไปไม่ทันเนื่องจากไกลแล้วต้องไปสนามบินต่อ

เราใช้เวลาเดินเล่นถ่ายรูปราวๆ 1.5 - 2 ชม จากนั้นกลับ Nanjing เพื่อไปเอากระเป๋าและกินข้าว 


มื้อเย็นก่อนกลับประเทศไทย

มื้อสุดท้ายขอกลับไปกินร้านฮ่องกงเจ้าเดิม Macau Por King แต่เราสั่งเมนูใหม่ๆ แทน

หลังกินข้าวเสร็จก็ได้เวลาไปสนามบิน เรานั่ง Metro สาย 2 ไปลง Pudong International Airport ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง

เมื่อ Check in และผ่าน ตม ก็เดินเล่นต่อใน Duty free แทน ปรากฏว่าน้องได้น้ำหอม chanel de bleu ราคาที่จ่ายเป็น US จะถูกกว่าเงินหยวน (123 USD ซึ่งราคาในไทยอยู่ที่ 5700 บาท คือถูกกว่าตอนไปดูที่อเมริกาซะอีก) หลังจากซื้อของเสร็จก็ไปรอที่ Gate และขึ้นเครื่องกลับไทย

ถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ ขอบคุณติดตามจนจบรีวิวครับ   

ของขึ้นชื่อประจำเมือง

สินค้าแบรนด์ หลายๆ แบรนด์ที่ Duty free ในสนามบินค่อนข้างถูก (บางอย่างถูกกว่าอเมริกาเลย)

แนะนำให้เช็คราคาของที่อยากได้มาจากไทย เช่น เครื่องสำอาง น้ำหอม ครีม ต่างๆ เผื่อได้ของถูกก่อนกลับบ้าน

สรุปค่าใช้จ่ายต่อคน

ค่าเดินทาง ตั๋วเครื่องบินขาไป China southern 6,419 บาท
ตั๋วเครื่องบินขากลับ Thai Lion Air 3,822 บาท
ค่ารถไฟ 301 บาท
ค่าที่พัก Airbnb 5 คืน 2,412 บาท
ค่าสถานที่ Disneyland 1,468 บาท
ค่าเข้าตึก SWFC 679 บาท
ค่าเข้าวัดจิ้งอัน 172 บาท
ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ Nature History Museum 215 บาท
อื่นๆ ค่าอาหาร 4,350 บาท
รวมทั้งหมด 19,838 บาท
ค่าเดินทาง
ตั๋วเครื่องบินขาไป China southern 6,419 บาท
ตั๋วเครื่องบินขากลับ Thai Lion Air 3,822 บาท
ค่ารถไฟ 301 บาท
ค่าที่พัก
Airbnb 5 คืน 2,412 บาท
ค่าสถานที่
Disneyland 1,468 บาท
ค่าเข้าตึก SWFC 679 บาท
ค่าเข้าวัดจิ้งอัน 172 บาท
ค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ Nature History Museum 215 บาท
อื่นๆ
ค่าอาหาร 4,350 บาท
รวมทั้งหมด 19,838 บาท

สรุปตารางท่องเที่ยว

ดาวน์โหลดตารางทั้งหมด