วันนี้จะมาเที่ยวประเทศ รัสเซีย โดยทริปนี้เกิดจากการอ่านรีวิวของคุณ CMV เเละคุณ ha-meow เเล้วอินมาก เลยจัดทริปไปเที่ยวตามรอยซะเลย โดยทริปนี้จะเน้นเเค่2 เมืองหลักของรัสเซียคือMoscow กับ St Petersburgครับสวัสดีครับ หลังจากที่เสียจิตไปกับการที่ต้องทิ้งตั๋วเเละยกเลิกทริปรัวๆ ผมเองก้เริ่มเกิดอาการเบื่อ เลยคิดว่ามารีวิวทริปรัสเซียที่ไปมาเมื่อ ตค 2019 ดีกว่า  โดยทริปนี้เกิดจากการอ่านรีวิวของคุณ CMV เเละคุณ ha-meow เเล้วอินมาก เลยจัดทริปไปเที่ยวตามรอยซะเลย โดยทริปนี้จะเน้นเเค่2 เมืองหลักของรัสเซียคือMoscow กับ St Petersburgครับ

เที่ยว Russia 101

อันนี้ขอให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับการเที่ยวรัสเซียไว้หน่อย เพราะเป็นประเทศที่มีความจุกจิกนิดๆคือ

1. ถึงเราจะไม่ต้องขอวีซ่า เเต่เราจะต้องมีการregister เมื่อทำการเข้าพัก โดยบางคนบอกว่าถ้าพักเกิน7วันถึงจะต้องregistered เเต่เพื่อความชัวร์ก่อนจอง รร หรือที่พัก เเนะนำให้ถามทางที่พักก่อนเลยว่ามีบริการทำเรื่องให้ไหม บางที่ทำฟรี บางที่เก็บตัง เเละบางที่ไม่ทำให้  ถามว่าถ้าไม่ทำมีผลอะไรไหม เท่าที่อ่านๆดูยังไม่เคยเจอรีวิวที่โดนจับเรื่องนี้ เเละตอนขาออก ตม ก็ไม่เชค เเต่ผมว่าทำไว้อุ่นใจกว่า
2. เมื่อเราเข้าประเทศ ตม จะให้ใบเเนบอันเล็กๆมากับพาสปอร์ต เก็บใบนี้ไว้ให้ดี เพราะจะต้องใช้ตอนขาออก ถ้าทำหาต้องทำเรื่องวุ่นวายประมาณนึงเลย
3. ที่รัสเซียBlock line ทำให้ไม่สามารถอ่านหรือส่งรูปได้ วิธีเเก้ไม่ยากคือโหลด VPN มาใช้ หรือไม่ก้ซื้อซิมจากไทย เเต่ผมเลือกซื้อซิมรัสเซียเพราะมันได้จำนวนGB เยอะกว่า สำหรับซิม ผมซื้อผ่านเพจเที่ยวรัสเซีย ครับ โดยผมซื้อเเพคเกจunlimited Internet+โทรในประเทศ700 นาที ราคาราว 500 บาท ข้อดีคือทางเพจเขาลงทะเบียนให้ เเละส่งมาให้เราก่อนเราบินไปรัสเซีย ทำให้เมื่อลงเครื่อง เราเปลี่ยนซิมปุ๊ป ก็ใช้ได้ปั๊ปเลย ซึ่งระหว่างงอยู่รัสเซีย เนตใช้ได้ดีไม่มีสะดุด เเถมเเอดมินเพจก็คอยทักมาเป็นระยะๆ อุ่นใจดีครับ(ผมเที่ยวคนเดียวน่ะ)
4. การเดินทางในมอสโคว ส่วนรถไฟใต้ดิน เเนะนำให้ซื้อบัตรเติมเงินชื่อTroika card ซื้อได้ที่สถานีรถไฟใต้ดินทุกเเห่งเเละสามารถเติมเงินได้จากตู้
5. รถไฟHighspeed Train ระหว่าง Moscow-St Petersburg สามารถซื้อล่วงหน้าได้ทางเวปไซต์โดยตรงเเละprintตั๋วไปใช้เเสดงกับ จนท ได้เลย โดยรถไฟความเร็วสูงเชื่อม2 เมืองนี้ใช้เวลาเดินทางราว 4 ชม ภายในรถไฟสะอาดเรียบร้อย(ประมาณชินคันเซน/TGV)
6. Taxiในรัสเซียเเนะนำให้โหลดเเอพ Yandex มาใช้ครับ อารมณ์ประมาณ Grab บ้านเรา เราใส่จุดหมายปลายทางไป มันจะเเสดงราคาขึ้นมา เราเเค่กดตกลง ใช้ง่ายมาก โดยราคาค่าTaxi ที่นี่ถูกพอๆกับบ้านเราครับ ถ้าเที่ยว2-3คน ผมว่านั่งTaxiถูกกว่าด้วยซ้ำ เเถมข้อดีของYandex คือมันจะเเปลข้อความจากภาษาอังกฤษให้เป็นรัสเซียให้เสร็จสรรพ หมดปัญหาคุยกันไม่รู้เรื่อง(ส่วนใหญ่คนรัสเซียไม่ค่อยพูดอังกฤษครับ)
7. ร้านส่วนใหญ่ในรัสเซียรับบัตรเครดิตครับ ไม่จำเป็นต้องพกเงินสดไปมาก ส่วนเรื่องการเเลกเงิน ผมเเลกจากไทยไปเลยเพราะขี้เกียจวุ่นวาย
8. บางคนบอกว่ามิจฉาชีพรัสเซียน่ากลัว เเต่เท่าที่ผมเที่ยวทั้ง 2 เมือง ใช้รถไฟใต้ดิน/เเทรม/บัส/รถไฟ ผมว่ายังไม่โหดเท่ามิลานหรือปารีสนะ คือเอาง่ายๆผมไม่โดนใครมาล้วงกระเป๋าหรือมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆเลย เเต่เพื่อความชัวร์ก็เเนะนำให้เก็บบัตร/พาสปอร์ต/เงินใส่กระเป๋าห้อยคอ เพื่อความชัวร์ครับ

เมื่อถึงมอสโคว ผมเข้าที่พัก โดยที่พักที่ผมเลือกเป็นที่พักจากAirbnb ตั้งอยู่บนถนน Arbat สาเหตุที่เลือกพักเเถบนี้เพราะตัวถนนArbat เป็นถนนคนเดิน 2ข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก เเละพวกนักดนตรีเปิดหมวก ทำให้ถนนเส้นนี้มีความคึกคัก ไม่เปลี่ยว เเถมไปที่เที่ยวต่างๆได้ค่อนข้างสะดวก ตัวที่พักตั้งอยู่ชั้นบนสุดของตึก ตกเเต่งได้หวือหวาเกินเบอร์มาก

หลังจากเข้าที่พักเเล้ว ผมออกมาหาอะไรทานเป็นมื้อเเรกรับการมาเยือนมอสโคว ซึ่งร้านที่อยู่ในList คือร้าน Wine & Crab ตัวร้านตั้งอยู่ในชั้นใต้ดิน เเต่บรรยากาศดีใช้ได้เลย กลางร้านมีตู้ใส่ปูยักษ์ เวลาเราสั่งพนักงานก้ไปหยิบปูจากในตู้มาต่อหน้า เเอบสงสารเล็กๆ เเต่ก็นะความตะกละมักชนะเสมอ

เมนูที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะมาทานKing crab (Kamchatka) ซึ่งพอมาลองทานดูก็ไม่ผิดหวังครับ ของเขาดีจริง

เมื่อมาถึงมอสโค สิ่งที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่(รวมทั้งผม)จะต้องมาเยือนคือ พระราชวังKremlin เเละ Red Square โดยในส่วนของKremlin นั้นจะต้องซื้อตั๋วเข้าชม ซึ่งสำหรับผม ผมเเนะนำว่าให้จองล่วงหน้าทางonline ไปก่อนดีกว่าครับ เพราะบางช่วงเวลาคิวจะยาวมาก

โดยสามารถจองได้ที่เวปนี้ครับ https://tickets.kreml.ru/en/#id=1&sid=1 

สำหรับ Kremlin จุดที่น่าสนใจจะเเบ่งเป็น3ส่วนด้วยกันคือ

1. Cathedral Square เป็นกลุ่มอาคารสำคัญจำพวกโบสถ์ วิหารรายล้อมจัตุรัส
2. Armoury Chamber เป็นวังเก่าที่ปัจจุบันเเปรสภาพมาเป็นพิพิธภัณฑ์จัดเเสดงสมบัติของชาติรัสเซีย
3. Diamond Fund (Almazny Fond) ตั้งอยู่อาคารเดียวกับ Armoury Chamber  จัดเเสดงเครื่องเพชรเครื่องทองของจักรวรรดิ์รัสเซีย

โดยการมาชม Kremlin สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานีBiblioteka imeni Lenina เเล้วเดินออกทางออก 5 (หมายเลข1 จากภาพ) เพื่อที่จะเอาวอยเชอร์ไปเเลกตั๋วเข้าชมที่อาคารจำหน่ายตั๋ว (หมายเลข2 จากภาพ)  ซึ่งเขาจะเเบ่งส่วนจองonline เเยกออกมา สะดวกเเละไวมากครับ

สำหรับคนที่เข้าชม Armoury Chamber จะต้องเข้าประตูBorovitskaya Bashnya  (หมายเลข3 จากภาพ) ช่วงที่ผมไปใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเเล้ว เเถบนี้สีใบไม้กำลังสวยเลยครับ

เมื่อผ่านการตรวจกระเป๋า ก็เข้ามาด้านในKremlin ทางเข้าของArmoury Chamber เเละ Diamond Fund จะอยู่ตรงอาคารสีเหลือง (หมายเลข 4)

ภายในArmoury Chamber เเละ Diamond Fund ไม่อนุญาติให้ถ่ายรูป โดยที่นี่จะจัดเเสดงเครื่องของมีค่า รถม้า เสื้อผ้า เเละเพชรพลอยซึ่งอลังการมาก ใครที่ชอบงานศิลปะ เเละประวัติศาสตร์เผื่อเวลาที่นี่ไว้เยอะๆหน่อยก็ดีครับ  ขนาดเดินดูคร่าวๆยังใช้เวลา2 ชม เลยครับ หลังจากชมArmoury Chamber เเละ Diamond Fund เเล้ว ก็เดินต่อมาในส่วนของCathedral Square(หมายเลข 5) ซึ่งส่วนนี้จะประกอบด้วยหมู่อาคารต่างๆล้อมรอบจัตุรัสขนาดเล็กๆ โดยอาคารเเรกที่เจอคือ The Annunciation Cathedral (Blagoveschensky Sobor) ซึ่งถูกใช้เป็นโบสถ์ส่วนตัวของบรรดาเชื้อพระวงศ์ ตัวอาคารจะเป็นโดมทอง9ยอด ภายในจะมีการเขียนลายที่ผนังอย่างสวยงาม ที่โถงกลางอาคารจะเป็นที่ตั้งของ Iconostasis หรือจากที่ประกอบด้วยรูปเคารพของนักบุญต่างๆในศาสนาคริสต์

อาคารถัดมาคือ Assumption Cathedral (Uspensky sobor) ซึ่งจากภาพจะเห็นThe Annunciation Cathedral พร้อมโดมทอง9 ยอดอยู่ด้านซ้ายมือ สำหรับอาคารนี้จะใช้เป็นสถานที่จัดงานแต่งงานของเชื้อพระวงศ์ งานขึ้นครองราชย์ของราชวงศ์ หรือ งานถวายสัตยาบรรณรับตำแหน่งของประธานาธิบดี ภายในจัดเเสดงสิ่งของมีค่าทางประวัติศาสตร์รัสเซียอยู่หลายชิ้นเช่นบัลลังก์พระเช้าซาร์ Ivan IV เเละนอกจากนี้ยังมีวัตถุศักดิ์สิทธิ เช่น ตะปูที่ใช้ตรึงพระเยซู คทาของเซนต์ปีเตอร์แห่งเคียฟ เก็บไว้ที่นี่อีกด้วย(ข้อมูลจากกระทู้คุณ CMV)

ด้านนอกตรงใต้ซุ้มโค้งจะมีการเขียนภาพเฟรสโก้เเสดงเนื้อหาทางคริสต์ศาสนา โดยภาพด้านซ้ายคือ ภาพพระเยซูกับพระแม่มาเรีย ภาพกลางคือ ตรีเอกานุภาพ (Holy Trinity) ภาพขวาคือ The Holy Wisdom  เทวดาองค์สีแดงนั่นคือ Sophia the Sacred Wisdom เป็นความเชื่อของนิกายออร์โธดอกส์ ตัวแทนของพระปัญญาของพระเจ้า ไม่ใช่เทวทูต หรือ นักบุญ

ติดกับAssumption Cathedral จะเป็น The Patriarch’s Palace with the twelve Apostles’ Church ซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยผมไม่ได้เข้าไปชม

ด้านหน้าของThe Patriarch’s Palace with the twelve Apostles’ Church เราจะเห็นปืนใหญ่ตั้งอยู่ โดยเจ้าปืนใหญ่นี้เรียกกันว่า  Tsar Cannon โดยเจ้า Tsar Cannon นั้นถูกสร้างขึ้นตามความประสงค์ของพระเจ้าซาร์ Boris Godunov โดยท่านได้มีคำสั่งให้ช่างอาวุธออกแบบอาวุธอะไรก็ได้ที่ดูใหญ่โต น่ากลัว และทรงพลัง นายช่างก็เลยประดิษฐ์ Tsar Cannon ปืนใหญ่ที่มีขนาดใหญ่กว่าความเป็นจริงมากขึ้นมา เพื่อเป็นเหมือนการเเสดงเเสนยานุภาพ ไม่ได้เอาไว้ใช้จริง

ถัดจากTsar Cannon จะเจอระฆังใบใหญ่อยู่ใบ ซึ่งเรียกกันว่า Tsar Bell ซึ่งถือว่าเป็นระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลกหนัก 216 ตัน เเต่ตัวระฆังไม่เคยถูกใช้งานเพราะในช่วงหล่อระฆัง เกิดไฟไหม้ ทหารที่เฝ้าดูเบ้าหลอมได้เอาน้ำสาดเพื่อดับไฟ เลยทำให้ระฆังเเตกดังภาพ

ติดกับ Tsar Bell จะเป็นหอระฆังสูงเรียกว่า Ivan the Great Bell Tower ซึ่งเดิมเจ้าหอระฆังนี้มีขาดเล็กนิดเดียว เเต่ต่อมาในยุคของพระเจ้าIvan IV ได้สั่งให้ทำการรื้อเพื่อสร้างหอระฆังใหม่ ให้ใหญ่สมศักดิ์ศรี  สถาปนิกจึงได้ออกเเบบเเละสร้างหอระฆังใหม่ขึ้นมาสูงถึง 81 เมตรกลายเป็นอาคารที่สูงที่สุดในKremlin

ข้างหอระฆัง(ซ้ายสุดของภาพด้านบน)จะเป็นอาคาร Archangel Michael Cathedral ภายในเป็นที่เก็บศพของพระราชวงศ์ของบรรดาเจ้าชายและกษัตริย์รัสเซียที่เสียชีวิตในช่วงปี 1340-1696 โดยภาพในไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปฝั่งตรงข้ามของCathedral Square จะมีสวนเล็กๆอยู่(หมายเลข6 ในคห.3) ช่วงที่ผมไปใบไม้เปลี่ยนสีกำลังสวย เลยถือโอกาสข้ามถนนไปชมสวน พบว่าสวนนี้สวยเเฮะ บรรยากาศดี ต้นไม้ได้รับการตกเเต่งอย่างดี อย่างว่าฝั่งตรงข้ามสวนเป็นทำเนียบประธานาธิบดี สวนเลยได้รับการดูเเลเป็นอย่างดี

ภายในสวนมีKiosk ขายเครื่องดื่มเเละอาหารรองท้องเบาๆ เหมาะมากสำหรับคนที่มีเเพลนจะใช้เวลาทั้งวันชมKremlin สามารถมาฝากท้องเเละนั่งพักได้ในสวนนี้ครับ

จากนั้นผมเดินออกจากKremlin ทางSpasskaya Bashnya (หมายเลข7 ในคห.3) ซึ่งประตูนี้จะเชื่อมกับRed Square ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารที่เป็นIconic ของมอสโคว นั่นคือSt. Basil's Cathedral

ก่อนที่เราจะไปชมSt. Basil's Cathedral ผมขอพาไปชมพิธีเปลี่ยนเวรทหารผู้ยืนเฝ้าเปลวไฟที่ไม่มีวันดับอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองก่อน ซึ่งพิธีเปลี่ยนเวรทหารนี้จะเเสดงอยู่ตรง Uglovaya Arsenal'naya Tower ริมกำเเพงKremlin  (หมายเลข9 ในคห.3)

พิธีเปลี่ยนเวรทหารนี้มีเพื่อรักษาสัญลักษณ์แห่งการเทิดทูนวีรกรรม และความกล้าหาญของทหารที่เสียชีวิตไปในช่วงสงคราม ทหารที่เฝ้ายามทุกคนต้องยืนตัวตรงอยู่ในระเบียบทุกๆ วัน เพราะว่าคำว่า "เสียสละ" คือสิ่งเดียวที่คนสมัยนั้นยอมทำไป เพื่อรักษาไว้ซึ่งอิสรภาพ ของคนรุ่นหลัง ไม่ว่าสงครามจะมีแนวโน้มว่าจะแพ้ หรือ ชนะ คนชาติรัสเซียต่างเข้มแข็งยืนหยัดต่อสู้ไม่มีถอย ไม่ย้าย ไม่เปลี่ยนใจไปอยู่ข้างใด ยึดมั่นในสิ่งที่ทำ และตั้งใจฝ่าไปให้สำเร็จ ความเสียสละนั้นจึงนำมาซึ่งความภูมิใจใน "เอกราช" อย่างแท้จริง โดดยพิธีเปลี่ยนเวรทหารจะใช้เวลาสั้นๆราว 5 นาที ครับ

ย้อนกลับมาที่ Red Square ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงเรียกจัตุรัสเเดง โดยจริงๆเเล้วที่นี่มีชื่อเรียกตามภาษารัสเซียว่า Krasnaya Ploschad ซึ่งเจ้าคำว่า Krasnaya มันเเปลได้ว่างดงาม เเละเเดง พอเเปลเป็นอังกฤษ เลยถูกเเปลว่าจัตุรัสเเดง เเล้วพอผ่านยุคสงครามเย็นสีเเดงก็ถูกนำเสนอในฐานะสีของระบอบคอมมิวนิสต์ เลยกลายเป็นเรียกจัตุรัสเเดงกันไปโดยปริยาย สำหรับ Red Square จะล้อมรอบด้วยอาคารปลูกสร้างสำคัญๆคือSt. Basil's Cathedral, State Historical Museum, ห้างGum, สุสานเลนิน

อาคารที่เด่นสุดคงหนีไม่พ้น St. Basil's Cathedral ซึ่งถุกสร้างโดยพระเจ้าอีวานที่ 4 สร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะที่มีต่อเมืองKazan  โดยวิหารเเห่งนี้ใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 125 ปี ด้านหน้าเราจะเห็นอนุสาวรีย์ของวีรบุรุษชาวรัสเซียสองท่านคือ Minin และ Pozharsky

การตกเเต่งภายใน St. Basil's Cathedral จะเป็นการเขียนสีลงบนผนังอาคาร ลวดลายเเละสีสันงดงามมาก สำหรับที่มาของชื่อSt. Basil นั้น ตัวSt. Basilเป็นนักบุญที่เกิดในช่วงศตวรรษที่ 15 ใช้ชีวิตอย่างสมรรถถะ เดินเท้าเปล่าและนอนใต้กันสาดของวิหาร Cathedral of the Veil of Our Lady (วิหารที่อยู่ใน Kremlin) ท่านอุทิศชีวิตในการพร่ำสอนศาสนาให้เเก่คนที่เดินผ่านไปมา เงินที่ท่านได้มาถูกบริจาคไปสู่ผู้ยากไร้ทั้งหมด เมื่อท่านเสียชีวิตลง ผู้คนนำท่านไปฝังไว้ใกล้ๆ กับวิหารเดิม และปัจจุบันก็คือ กำแพงฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของวิหาร Saint Basil นี่เอง

ในขณะที่ประวัติผู้สร้าง St. Basil's Cathedral กลับตรงกันข้าม พระเจ้าอีวานที่ 4 เป็นผู้ปกครองที่มีชื่อเรื่องความโหดร้าย จนได้สมญา Ivan the terrible เนื่องจากทรงปกครองเเผ่นดินอย่างเข้มงวดเเละเคร่งครัด นักประวัติศาสตร์บางคนเชื่อวานท่านมีอาการของ “จิตเภท” (Schizophrenia) ทำให้เกิดความหวาดระแวงว่าจะมีคนมาทำร้าย ส่งผลให้มีพฤติกรรมฆ่าตัดตอน และสั่งประหารคนใกล้ชิด เเม้กระทั่งลูกของตนเอง  จึงเป็นที่มาของเรื่องเล่าว่าท่านสั่งให้คนควักลูกตาสถาปนิกที่ออกเเบบSt. Basil's Cathedral  เเต่เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงเรื่องเล่าเพราะไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยัน

ด้านหลังของ St. Basil's Cathedralจะมีสวนสาธารณะที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปี 2017 มีชื่อว่าPark Zaryad'ye ภายในสวนมีทั้งExhibition ร้านอาหาร คาเฟ เเละลานกิจกรรม ซึ่งตัวสวนดีไซน์ได้สวยมาก ใครเป็นสายออกแบบน่าจะชอบ

ตัวสวนไม่ใหญ่มากครับ เเต่อาคารเเละพื้นที่ต่างๆของสวนมีDynamic ทำให้ทุกมุมของสวนมีความน่าสนใจ เดินไปหน่อยMood ของกิจกรรมก็เปลี่ยน ช่วงเดดร่มลมตกเหมาะมากที่จะมาเดินเล่นครับ

ที่ฝั่งหนึ่งของสวนจะมีFloating Bridge ซึ่งเป็นสะพานยื่นไปเหนือเเม่น้ำMoskva เอาไว้เป็นจุดชมวิว วึ่งวิวที่สวยที่สุดคงจะเป็นวิวเมื่อมองไปยังKotelnicheskaya Embankment Building หนึ่งใน 7 อาคารเด่นยุคโซเวียตของมอสโคว

ย้อนกลับมาที่Red Square อีกอาคารที่ประจันหน้ากับSt. Basil's Cathedral ก็คือ State Historical Museum พิธภัณฑ์นี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1872 โดยพระประสงค์ของ จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 2 และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ในปี 1883 ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงวัตถุมีค่าที่เกี่ยวข้องกับประเทศรัสเซียทั้งหมด โดยชั้นล่างที่มี 22 ห้อง จัดแสดงเกี่ยวกับของตั้งแต่ยุคหินไปจนถึงศตวรรษที่ 17 ส่วนชั้นสองอีก 12 ห้องเป็นของศตวรรษที่ 18-19

เมื่อเข้ามาห้องเเรกที่เจอจะเป็นโถงใหญ่ จุดเด่นอยู่ที่เพดานที่มีการเพนท์ภาพซาร์ที่ปกครองรัสเซีย (ที่มาของคำว่า Tsar นั้นมาจากในยุคRoman จะเรียกผู้ปกครองว่า Caesar ต่อมาปรับเป็น Tsar เเละถูกใช้ทั้งในยุค Byzantine Empire เเละ the Holy Roman Empire ซึ่งรัสเซียเป็นประเทศที่รับเอาวัฒนธรรมเเละอิทธิพลความเชื่อ/ศาสนามาจากByzantine Empire จึงเรียกผู้ปกครองว่า Tsar เหมือนกัน)

สิ่งที่จัดเเสดงภายในState Historical Museum  มีความหลากหลายมาก เรียกว่าเดินดูกันจนตาแฉะ เเถมเเต่ละห้องยังมีการตกเเต่งที่เเตกต่างกันเช่น Suzdal Room ภายในตกแต่งเลียนแบบวิหาร Dmitri ในเมือง Vladimir

ห้องอื่นๆก็มีการตกเเต่งที่เเตกต่างกันออกไป เเค่เดินดูงานInterior ก็สนุกเเล้ว  เเนะนำว่าให้เผื่อเวลาไว้สัก 1-2 ชมสำหรับที่นี่ครับ

ในยามเย็น ตัวRed Squareจะมีการประดับไฟสวยงามมาก เเถมคนจะออกมาเดินเล่นกันเต็มลาน ทำให้ลานนี้ดูมีชีวิตชีวามาก

ด้านหนึ่งที่เป็นกำเเพงKremlin ส่วนอีกด้านเป็นห้างGum ที่ นทท นิยมมาชอปปิ้งเเละทานไอศครีมกันครับ

.สำหรับมื้อค่ำในมอสโคว คราวนี้ผมเลือกไปทานที่ร้านTurandot เอาตรงๆเลือกร้านนี้เพราะ"สวย" เลยไม่คาดหวังกะอาหารเท่าไร ซึ่งพอได้ลองทานเเล้ว เฮ้ยมันไม่เเย่นะ ถือว่าไม่ผิดหวังครับ (เรื่องร้านอาหารเดียวจะขอรีวิวเเยกไปอีกกระทู้นะครับ)

ใกล้ๆกับTurandotจะมีซุปเปอร์มาเกตอยู่อันชื่อ Eliseevsky grocery ซึ่งไม่ได้จะซื้ออะไรหรอกครับ เเต่ร้านสวยดีเลยขอเดินไปชมนิดนึง

ยามเช้าจากที่พักย่าน Arbat ผมเดินผ่าน The Ministry of Foreign Affairs of Russia ดูเเล้วอลังการดีเเท้

เดินมาไม่นานก็เจอPushkinskiy Bridge ซึ่งมุมมหาชนคือไอ้เจ้าโครงเหล้กเหลืองๆนี้  ในความเห็นผม ผมว่าธรรมดาเเฮะ

วิวจาก Pushkinskiy Bridge มองไปไกลๆจะเห็น Cathedral of Christ the Saviour

เลยมาจากPushkinskiy Bridge จะมีร้านอาหารเช้าเก๋ๆอยู่ร้านนึงชื่อ The Y Restaurantตัวร้านบรรยากาศดีมากครับ

อาหารของร้านรสชาติดีทีเดียวครับ ใครหาร้านอาหารเช้าอร่อยๆ เเนะนำร้านนี้ครับ

หลังจากทานมื้อเช้าเรียบร้อยเเล้ว ผมนั่งsubway ไปลงสถานี Tsaritsyno เพื่อที่จะไปชม Tsaritsyno Museum-Reserved ซึ่งเป็นวังที่ถูกสร้างในสมัยพระราชินี Catherine II หรือ Catherine the Great โดยพระองค์ได้เสด็จจากSt Petersburg มายังMoscow ซึ่งเมื่อพระองค์ผ่านมาย่านนี้ก็ถูกใจในLandscape พื้นที่เเถบนี้ จึงได้ทำการซื้อที่ดินเเละมอบหมายให้ Vasily Ivanovich Bazhenov เป็นผู้ออกแบบ จากสถานีรถไฟ เดินข้ามถนนมา ช่วงเเรกเราจะเจอสวนขนาดใหญ่พร้อมทะเลสาบ น่าเสียดายที่ช่วงผมไปน้ำพุปิดปรับปรุง

เมื่อเดินข้ามทะเลสาปมาจะเจอประตู้เข้าสู่ส่วนวัง Tsaritsyno

เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้ามาก็จะเจอตัวพระราชวังซึ่งดูรุปแบบเเล้วมีความสวยเเปลกตา เนื่องจากตัววังพระราชินี Catherine IIได้สั่งให้ออกแบบเป็นลูกผสมทั้งNeo Gothic ผสมอิตาลี ผสมมัวส์ เเละใช้อิฐเเบบรัสเซีย ซึ่งเอาจริงๆผมว่าสถาปนิกเก่งนะ ทำออกมาสวยดีทีเดียว

จุดจำหน่ายตั๋วเข้าชมจะอยู่ด้านในหลังซุ้มประตู้นี้ ซึ่งที่นี่เหมือนเพิ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ ทุกอย่างดูทันสมัยดี

ห้องเด่นๆของที่นี่จะเป็นCatherine’s Hall ซึ่งเมื่อเทียบกับวังอื่นๆในรัสเซีย ที่นี่ออกจะเรียบๆหน่อย ในส่วนอื่นจะมีการจัดเเสดงห้องพักต่างๆผสมกับระบบ interaction ถือว่าทำได้ดี เดินชมไปเล่นนู่นนี่ไป ไม่น่าเบื่อดีครับ

หลังจากชม  Tsaritsyno Museum-Reserved ผมนั่งsubway ย้อนเข้าเมืองมาลงที่สถานี Kashirskaya เพื่อที่จะไปชม Palace of Tsar ซึ่งเป็นวังที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าซาร์ Alexis I ซึ่งสร้างเป็นอาคารไม้ตามเเบบฉบับสถาปัตยกรรมรัสเซียดั้งเดิม

ภายในตกเเต่งด้วยโทนสีจี๊ดจ๊าดมาก เเค่โถงทางเข้าก็จัดสีเเดงเเปร๊ดเเล้ว

ห้องThrone Chamber ใช้เป็นห้องออกรับราชอาคันตุกะ ตัวบัลลังก์ทำจากไม้ประดับอัญมณี ด้านข้างบัลลังก์มีรูปปั้นสิงโตสองตัว จำลองรูปแบบบัลลังก์กษัตริย์โซโลมอน

ภายในPalace of Tsar จะเเบ่งโซนกษัตริย์เเละราชินี อารมณ์ประมาณวังหน้า วังใน ซึ่งมีห้องให้เราเดินชมราวๆ20 ห้อง เดินเพลินๆสัก1 ชม ผมก็ออกมาครับ

กลับเข้าเมือง คราวนี้ผมไปทานอาหารที่ Cafe Pushkin  ซึ่งร้านนี้ค่อนข้างดัง มีการเเบ่งห้องอาหารเป็นห้องย่อยๆ จึงเเนะนำว่าควรจองมาก่อน โดยเแพาะอย่างยิ่งถ้าอยากนั่งที่ห้อง The Library

อาหารที่นี่อร่อย บรรยากาศดีทีเดียวครับ เเต่ราคาเเอบสูงนิดนึง

วันรุ่งขึ้นผมเลือกไปทานมื้อเช้าที่ร้านSempre เพราะร้านดูสวยดี

สมูทตี้ของที่นี่อร่อยมาก ทานเเล้วสดชื่น รสเปรี้ยวอมหวานกำลังดีเลย

อีกสถานที่หนึ่งที่เป็นที่นิยมของนทท นั่นคือ Cathedral of Christ the Saviour ซึ่งตั้งอยู่ริมเเม่น้ำMoskva ตัววิหารถูกสร้างขึ้นมาเเทนของเดิมที่โดนทำลายไปในปี 1931 จากคำสั่งของ Stalin  มุมยอดฮิตคือถ่ายจากสะพานข้ามเเม่น้ำ เเต่ช่วงผมไปกำลังซ่อมใหญ่ เลยมีนั่งร้านเต็มไปหมด

ภายในCathedral of Christ the Saviourไม่อนุญาติให้ถ่ายรูป ซึ่งภายในตกเเต่งได้อลังการสมฐานะมหาวิหารครับ

เยื้องๆกับ Cathedral of Christ the Saviour จะเป็นที่ตั้งของ The Pushkin State Museum of Fine Arts ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดเเสดงผลงานดังๆไล่ตั้งเเย่ยุคเมโสโปเตเมียไปยันต้น คส 19 ซึ่งงานที่จัดเเสดงบางส่วนจะเป็นของจำลอง

ภายในเเบ่งการจัดเเสดงเป็นห้องๆตามเเต่ละยุคสมัย ผมชอบการทำพิพิธภัณฑ์เเบบนี้นะ เป็นการจำลองงานชื่อดังระดับโลก ทำให้ประชาชนเข้าถึงศิลปะได้ง่ายขึ้น

การจัดInteriorของห้องก็สอดคล้องไปกับยุคของศิลปะที่จัดเเสดง เอาเป็นว่าถ้าใครมีเวลาเหลือเเนะนำให้มาเดินเล่นที่นี่ครับ ดูเอาเพลินๆได้ดีทีเดียว

Subway Station Tour

อีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นที่นิยมกันในหมู่นักท่องเที่ยวคือการเที่ยวชมสถานีรถไฟใต้ดิน เนื่องจากในสมัยโซเวียต ทางการได้สร้างสถานีรถไฟใต้ดินให้โอโถงเเละอยู่ลึกลงไปมากเผื่อใช้เป็นหลุมหลบภัยในยามฉุกเฉิน โดยในเเต่ละสถานีจะมีการตกเเต่งที่เเตกต่างกันไป ความจริงมีหลายสถานีที่สวยๆ เเต่ตามเก็บไม่หมด เลยเลือกเอาบางสถานีมาให้ชมครับ

Arbatskaya

สถานีนี้ทำเป็นซุ้มเพดานโค้ง ฐานด้านล่างประดับด้วยหินอ่อน ตัวซุ้มโค้งประดับด้วยปูนปั้นรูปดอกไม้ มีโคมไฟที่ส่องสว่างเป็นระยะๆ

Elektrozavodskaya

สถานีนี้ออกแบบตามเเบบสถาปัตยกรรมแบบสตาลินสไตล์ Art Deco ตัวเพดานทำเป็นหลอดไฟวงกลมเรียงกันจำนวน318 ดวง เนื่องจากตัวสถานีตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานผลิตหลอดไฟ

Slavyanskiy Bulvar

สถานีนี้ออกเเบบโดยอ้างอิงมาจากสถานปิกฝรั่งเศสชื่อดังHector Guimard โดยตรงชานชาลาจะมีต้นไม้ เเละที่นั่งที่ทำมาจากเหล็กดัดสไตล์ฝรั่งเศส

Ploschad Revolyutsii

สถานีนี้จะมีซุ้มโค้งประดับด้วยหินอ่อนสีแดง ส่วนฐานล่างประดับด้วยหินอ่อนอาร์เมเนียนสีดำ ที่ฐานของแต่ละซุ้มประตูจะมีรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ตั้งอยู่หนึ่งคู่ โดยมีทั้งหมด 76 ชิ้น แต่ละชิ้นก็เป็นเรื่องราวของชาวรัสเซีย เช่น ทหาร, เกษตรกร, นักกีฬา, และเด็กนักเรียน ฯลฯ เเต่จะมีรูปหล่อเด่นๆอยู่2อันคือ รูปหล่อที่เป็นทหารนั่งคู่อยู่กับสุนัขชาวรัสเซียเชื่อว่าถ้าเอามือลูบจมูกสุนัขเเล้วจะมีโชคร่ำรวย เเละรูปหล่อรูปหญิงสาวกับไก่ ที่เชื่อว่าเมื่อลูบตัวไก่เเล้วจะสุขภาพดี

Kievskaya

สถานี้นี้ไดจัดให้มีการประกวดการออกแบบในยูเครนเพื่อเฉลิมฉลองความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของยูเครนเเละรัสเซีย ตัวสถานีออกแบบเป็นซุ้มโค้งกรุหินอ่อนขาวด้านล่าง ภาพในซุ้มโค้งเป็นโมเสคกุ๊นขอบด้วยปูนปั้นสีทอง

เนื่องจากสถานีนี้เป็นจุดตัดกันดังนั้นสถานีของเเต่ละสายก็จะมีการตกเเต่งที่ต่างกันไปเเต่สวยดีครับ

Belorusskaya

สถานีจะมีเสาหินอ่อนสีขาวขนาดใหญ่ ที่เพดานจะมีภาพลายนูนและรูปภาพเรื่องราว Belarusian Themes ซึ่งเป็นภาพโมเสก 8 เหลี่ยม แสดงถึงวิถีชีวิตประจำวันของชาวเบลารุส พื้นทางเดินเป็นกระเบื้องสีสลับลาย ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานีที่บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และความผูกพันธ์กันของคนสองชาติ ชาวเบลารุสหรือชาวรัสเซียขาวถือเป็นอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งของชาวสลาฟ มีประวัติศาสตร์ความเป็นมา-ร่วมสู้รบกับผู้รุกรานมาด้วยกัน ในอดีตเบลารุสถือว่าเป็นรัฐที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของสหภาพโซเวียตอีกด้วย

Novoslobodskaya

สำหรับสถานีนี้ จุดเด่นคือศิลปะที่ทำมาจากกระจกสี โดยต้องการให้เป็นการแสดงออกถึงสันติภาพที่เกิดขึ้นกับโลกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านภาพศิลปะที่ใช้กระจกทำเป็นรูปดอกไม้ผลิบาน ความสวยงานของธรรมชาติต่างๆ มีรูปแม่และลูกใต้คำว่าสันติภาพ อันหมายถึงสันติภาพที่เกิดขึ้นกับโลก นอกจากนี้ยังมีงานกระจกสวยๆอีกมากมายที่ศิลปินต้องการสื่อถึงเรื่องราวชีวิตของคนในสมัยนั้น

Park Pabedy

เป็นสถานีที่ลึกที่สุดคือลึก 73.6 เมตร และมีบันไดเลื่อนที่ยาวที่สุดของรถไฟใต้ดินในกรุงมอสโค คือ 126  เมตร  สถานีนี้มีการตกแต่งด้วยโมเสกเกี่ยวกับประวัติสงคราม Patriotic War ตัวโถงใหญ่มีเสาและผนังที่ประดับด้วยหินอ่อนสีขาวและสีน้ำตาล

นอกจากสถานีเหล่านี้ ที่มอสโังมีสถานีสวยๆอีกหลายอันครับ เเต่ด้วยความเหนื่อยกับขึ้เกียจ ผมเลยเก็บสถานีเด่นๆมาเท่านี้ ซึ่งในส่วนสถานีอื่นๆก็มีดีไซน์เเตกต่างกันไป สวยมีเอกลักษณ์ดีครับ

คืนสุดท้ายที่มอสโคว ผมเลือกอำลาด้วยการทานอาหารที่ร้าน White Rabbit ซึ่งเป็นร้านดังในหมู่นักท่องเที่ยว เนื่องจากตัวร้านเป็นโครงหลังคากระจกทำให้เมื่อมองจากภายในร้านจะสามารถมองเห็นอาคารThe Ministry of Foreign Affairs of Russia ได้

ราคาอาหารที่นี่ค่อนข้างสูง เเต่เมื่อเทียบกับบริการ รสชาติ เเละสถานที่ ถือว่าคุ้มค่าครับ ใครที่อยากมาทานเเนะนำว่าให้จองล่วงหน้าครับ เพราะร้านคิวเเน่นทีเดียว โดยเฉพาะเย็นวันเสาร์ อาทิตย์

ขอจบรีวิวส่วนการเที่ยวในมอสโคไว้ที่ คห นี้นะครับ กระทู้หน้าจะพาไปเที่ยวSt Petersburg กันต่อครับ สวัสดีครับ