สวัสดีครับ วันนี้จะมารีวิวที่เที่ยวใน St Petersburg ต่อนะครับ โดยจากคราวที่เเล้วที่พาเที่ยววงหลักๆทั้ง 3 วัง คราวนี้จะมาชวนเที่ยวสถานที่ขึ้นชื่ออื่นๆ ภายในเมืองนี้ครับ
ST PETERSBURG 101
สำหรับเมืองSt Petersburg เป็นเมืองหลวงเก่าในช่วงปี คศ. 1713-1918 ถูกสร้างเเละพัฒนาจากหมู่บ้นประมงเล็กๆ เป็นเมืองใหม่ในสมัยพระเจ้าPeter The Great เนื่องจากพระองค์เห็นว่าเป็นชัยภูมิที่เหมาะเเก่การเชื่อมต่อกับประเทศต่างๆในยุโรปผ่านทางทะเลทะเลบอลติค เนื่องจากในอดีตรัสเซียเป็นเมืองที่มีการพัฒนาทางด้านการเรือต่ำเพราะเมืองท่าเเต่ละเมืองอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง(มอสโคว)มาก เเถมเมืองท่าอย่างเช่นเมือง Archangel ก็อยู่ริมฝั่งคาบสมุทรอาร์คติค เดินเรือได้เเค่ช่วงฤดูร้อน ดังนั้นเมื่อพระเจ้าPeter The Great เริ่มมีกำลัง สิ่งเเรกที่ทำ(หลังจากจัดการการเมืองภายใน)คือทำสงครามเพื่อทำให้รัสเซียมีเมืองท่าเพื่อทำการค้าขายเเละเเผ่ขยายอิทธิพล ซึ่งเมืองนั้นก็คือ St Petersburg เพื่อเชื่อมต่อกับยุโรปผ่านทางทะเลบอลติค เเละเมืองAzov เพื่อเชื่อมยุโรปตอนใต้ผ่านทางทะเลดำ
ในช่วงเเรก St Petersburgเป้นเพียงเมืองเล็กๆ มีสภาพเป็นที่ลุ่มปากเเม่น้ำ มีลำคลองพาดผ่าน พระเจ้าPeter The Greatได้เกณฑ์กำลังคนมาสร้างเมือง รวมทั้งบีบบังคับให้เหล่าชนชั้นนำย้ายมาอยู่ที่นี่ เพื่อให้เมืองเติบโตขึ้นมาโดยไว
การท่องเที่ยวในเมือง St Petersburg ทำได้ง่าย เพราะที่เที่ยวจะเกาะกลุ่มกันอยู่เเต่ในเมือง (ที่ไกลหน่อยก็มีเเค่ Peterhof กะ Catherine Palace)
การเดินทางมีทั้งเมโทร รถราง รถบัส ถือว่าสะดวกดีครับ หรือถ้าขี้เกียจจะใช้Taxiก็ได้ เพราะเทียบเเล้วราคาพอๆกับTaxi ไทยเลยครับ (เเนะนำเรียกTaxi ผ่านเเอป Yandex)
คนที่มาเที่ยวที่นี่ ผมเเนะนำให้ซื้อตั๋ววันครับ สามารถใช้ได้ทั้งเมโทร รถบัส เเละรถราง (เเต่ใช้กับมินิบัสไปPeterhof กะ Catherine Palaceไม่ได้นะครับ) ผมใช้วิธีเซฟภาพด้านล่างนี้เเล้วไปโชว์กับคนขายตั๋วเอาเลย เพราะคนรัสเซียยังพูดภาษาอังกฤษกันน้อยครับ
1.Peter and Paul Fortress
สถานที่เเรกที่จะพาไปคือ Peter and Paul Fortress ครับ ป้อมปีเตอร์นี้ตั้งอยู่ตรงปากเเม่น้ำเนวา เป็นสิ่งเเรกที่พระเจ้า Peter สร้างขึ้นหลังได้รับชัยชนะจากสวีเดนเเละยึดครองเมืองSt Petersburg ได้สำเร็จ โดยป้อมนี้ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆชื่อว่าEnisaari หรือที่คนรัสเซียเรียกว่าเกาะกระต่าย
เมื่อเดินข้ามสะพานไปยังเกาะ จะเจอประตูที่มีตราประจำราชวงศ์โรมานอฟเป็นรูปนกอินทรีย์2หัวถือคฑาเเละลูกโลก เเสดงถึงอำนาจที่เเผ่ไปทั้งซีกโลกตะวันตกเเละตะวันออก
อย่างที่บอกว่าเกาะนี้มีชื่อเล่นว่าเกาะกระต่าย ดังนั้นพอผ่านประตูเข้ามา จะเจอประติมากรรมกระต่ายเเทรกอยู่ตามมุมต่างๆของสวน
บนเกาะนี้จะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เล็กๆ หลายอย่าง เเต่ผมไม่ได้เข้าชมเพราะเวลาไม่พอ เเถมฝนตกอีกต่างหาก
จุดมุ่งหมายหลักที่มาชมจะเป็น Peter and Paul Cathedral เพราะเป็นที่ฝังพระศพของราชวงศ์โรมานอฟ เเละยังเป็นโบสถ์ที่เก่าเเก่ที่สุดของ St Petersburg ครับ โดยโบสถ์นี้สร้างตามลักษณะสถาปัตยกรรมเเบบดัดซ์ เพราะพระเจ้าPeter ทรงนิยมรูปเเบบเเละชื่นชอบประเทศนี้เป็นพิเศษ
ภายในโบสถ์จะมีการตั้งพระศพของกษัตริย์เเละสมาชิกราชวงศ์โรมานอฟในยุคหลังๆตั้งเเต่พระเจ้าPeterเป็นต้นมา โดยพระศพที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากนักท่องเที่ยวคือพระศพของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ซึ่งเพิ่งมีการจัดพิธีศพให้ในปี 1998 หลังจากที่พระองค์ถูกปลงพระชนม์พร้อมกับภรรยาเเละลูกในช่วงการเปลี่ยนเเปลงการปกครองเเละนำพระศพไปฝังไว้ในป่าลึกเเถบไซบีเรีย
2.St. Isaac's Cathedral
มหาวิหารที่ได้รับการยกย่องว่ายิ่งใหญ่เเละงดงามที่สุดของSt Petersburg คงหนีไม่พ้น St. Isaac's Cathedral ตัววิหารตั้งอยู่ไม่ไกลจากเเม่น้ำเนวา เเละ Winter Palace เรียกได้ว่าเดินถึงกันได้เเบบสบายๆ หน้ามหาวิหารมีสวนเล็กๆ ช่วงผมไปใบไม้เปลี่ยนสีกำลังสวยเลยครับ
ตัววิหารตั้งอยู่เป็นเกาะกลาง ล้อมรอบด้วยถนนทั้ง4 ด้าน จากภายนอกจะมองเห็นโดมทองขนาดใหญ่ ซึ่งมีการอ้างว่าโดมนี้เคลือบด้วยทองคำเเท้ ตัวอาคารใช้เวลาในการสร้างนานถึง40ปี เนื่องด้วยทั้งรายละเอียดของการตกเเต่งเเละสถานที่ตั้งซึ่งอยู่ในเขตที่ลุ่ม การสร้างอาคารขนาดใหญ่จึงต้องมีการทำฐานรากที่เเข็งเเรงมาก โดยวิหารเเห่งนี้มีการใช้เสาเข็มถึง 25,000ต้น เเละค่าก่อสร้างมหาศาลชนิดที่เเพงกว่าการสร้างWinter Palce หลายเท่าตัว
เมื่อเข้ามาภายในมหาวิหารจะพบว่าตัววิหารได้รับการตกเเต่งด้วยหินอ่อนรวมทั้งเสา malachite ขนาดใหญ่จำนวน10ต้น(ผมถ่ายมาฝั่งเดียว เพราะอีกฝั่งซ่อมเเซมอยู่) เเละเสา lazurite อีก 2 ต้น ซึ่งหินทั้ง2 ชนิดถือเป็นหินมีค่าเเละเป็นหินมงคล
โดมตรงกลางมหาวิหารมีความสูง 101 เมตร ขอบของซุ้มโค้งตกเเต่งด้วยรูปปั้นบรอนซ์ของเทวดานางฟ้า ตรงกลางโดมมีภาพวาดนกพิราบซึ่งชาวรัสเซียเชื่อว่าตรงบริเวณนี้เป็นประตูสู่สวรรค์ จึงมักมีคนมายืนอธิษฐานกันตรงบริเวณนี้เป็นประจำ
ที่มหาวิหารนี้ จะมีจุดชมวิวบนยอดดดม ซึ่งเราต้องซื้อตั๋วเเยก โดยทางขึ้นจะอยู่ด้านนอกของวิหาร เเละขึ้นด้วยบันไดเท่านั้น เเต่ข้อดีคือบันได้เดินง่าย ไม่ชัน เดินๆ พักๆได้สบายครับ
จากมุมนี้จะเห็นได้ว่า St Petersburg มีอาคารสูงหรือตึกสมัยหมัยน้อยมาก (ความจริงมีตึกสูงสวยๆอยู่ชานเมือง เเต่โปรเเกรมผมเเน่น เลยอดไปชม)
มองไปฝั่งสวนที่เชื่อมไปยังWinter Palace เเละเเม่น้ำเนวา จะเห็นป้อมปีเตอร์เเอนด์พอลต์ อยู่อีกฝั่งเเม่น้ำ
สรุปแแล้ววิวด้านบนนี้สวยดีครับ เเต่สำหรับผมถ้าเวลาน้อย ไม่ต้องขึ้นก็ได้ ยังสวยสู้วิวมุมสูงเเถบบอิตาลี หรือฝรั่งเศสไม่ได้
3. Church of the Savior on the Spilled Blood
โบสถ์เเห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดย ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 เพื่อเป็นการไว้อาลัยเเด่บิดา (ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2)ซึ่งถูกระเบิด ณ บริเวณนี้ โดยรูปแบบโบสถ์ได้เเรงบันดาลใจมาจากโบสถ์ St. Besil ที่มอสโคว โดยอเล็กซานเดอร์ที่ 3ต้องการสื่อถึงยุครุ่งเรืองของจักรวรรดิ์รัสเซีย ตัวโบสถ์ใช้เวลาสร้าง 24 ปี ตามรูปเเบบของงานสถาปัตยกรรมยุคกลางของรัสเซีย โดยช่วงที่ผมไป โดมภายนอกกำลังซ่อมเเซมอยู่ สำหรับคนที่จะมาที่นี่ไม่ต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าก็ได้ครับ เพราะหน้าทางเข้ามีตู้ขายตั๋วอยู่
เมื่อเข้ามาภายใน สิ่งเเรกที่สะดุดตาคืองานโมเสค เพราะผนังเเละเพดานของโบสถ์ถูกปิดด้วยโมเสสคชิ้นเล็กๆจนเมื่อมองเผินๆเเล้วคิดว่าเป็นภาพวาด มุมหนึ่งของโบสถ์จะเป็นที่ตั้งของศาลาเล็กๆเพื่อเเสดงจุดที่พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ถูกปลงพระชนม์
ด้านหลังของโบสถ์นี้ ตลอดเเนวริมคลองจะมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ ใครที่ไม่ใช่สายงานสถาปัตย์ก็มาเดินชอปปิ้งย่านนี้ได้อยู่ครับ
4.Cathedral of Our Lady of Kazan
วิหารใหญ่อีกเเห่งของเมือง St Petersburg โดยวิหารเเห่งนี้เปิดให้เข้าชมฟรี เเต่มีข้อกำหนดคือห้ามถ่ายรูปภายในด้านหน้าของวิหารนะประกอบด้วยcolonnade ล้อมทั้ง2 ด้าน
ภายในวิหารจะเป็นที่ประดิษฐานของรูปIcon Our Lady of Kazan ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวรัสเซียเป็นอย่างมาก มากจนชนิดที่ว่าในช่วงสงคราวโลกครั้งที่2 มีการนำเอา Icon นี้ขึ้นเอลิคอปเตอร์บินวนรอบเมืองเพื่อป้องกันเยอรมันบุก ซึ่งวันที่ผมไป ก็มีคนยืนเข้าคิวเพื่อไปขอพรกับพระเเม่อยู่เเถวยาวทีเดียว
ฝั่งตรงข้ามของKazan Cathedralจะเป็นที่ตั้งของ Singer Cafe วิวจากคาเฟสวยดีทีเดียวครับ เเนะนำให้ชาว Instagram มาทานอาหารเช้าที่นี่
5.Smolny Convent
คอนเเวนท์เเห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นที่อยู่ของพระราชินี Elizabeth ในช่วงที่พระองค์ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์(พระองค์เป็นลูกที่เกิดจากชายาคนที่2 พี่สาวที่เกิดจากชายาคนเเรกจึงถือสิทธิ์ปกครองประเทศก่อน เเละคุมตัวพระองค์ไว้ที่นี่) ตัวโบสถ์ถูกสร้างด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมเเบบบาโรคโดยฝีมือการออกแบบของ Francesco Bartolomeo Rastrelli เมื่อเข้าไปภายในการตกเเต่งกลับเรียบง่าย ผิดกับภายนอก
ตัวโบสถ์หลักจะล้อมรอบด้วยอาคารเตี้ยโดยรอบ ระหว่างโบสถ์หลักกับอาคารเตี้ย จะเป็นสวนขนาดเล็ก น่าเเปลกที่คนเเทบไม่มีเลยทั้งที่บรรยากาศมันดีมาก
6.Faberge Museum
พิพิธภัณฑ์ไข่Faberge นี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมไข่Fabergeที่พระเจ้าซาร์2 พระองค์สุดท้ายได้สั่งทำเพื่อมอบให้พระราชินีเเละพระมารดาในช่วงเทศกาลอีสเตอร์โดยเริ่มจากพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 สั่งให้ Peter Carl Fabergé ซึ่งเป็นคนที่ทำเครื่องประดับให้ราชวงศ์มาโดยตลออดช่วยทำของขวัญให้ภรรยา Peter จึงได้ทำไข่อีสเตอร์ซึ่งมีลูกเล่นเมื่อเปิดออก เป็นที่ถูกใจพระราชินีมาก จึงกลายเป็นธรรมเนียมว่าในทุกๆปีช่วงอีสเตอร์ พระเจ้าซาร์จะสั่งทำไข่Fabergeให้พระราชินี จนเป็นที่ทำตามกันของเหล่าชนชั้นนำของรัสเซียในยุคนั้น ตัวพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเป็นอาคาร2 ชั้น มองเผินๆเเทบไม่รู้ว่าเป็นMuseum
ในส่วนของชั้นจัดเเสดงจะตั้งอยู่บนชั้น 2 ของอาคาร เเบ่งเป็นห้องๆ เเต่ละห้องจัดเเสดงผลงานของFabergé ซึ่งไม่ใช่เเค่ไข่อีสเตอร์ เเต่ยังรวมถึงเครื่องเงิน เครื่องลงยา เเละงานจิวเวลลี่มากมาย
ไฮไลท์ของที่นี่จะอยู่ที่ห้องBlue Room ซึ่งจัดเเสดงไข่อีสเตอร์ทั้ง 9 ใบที่เป็นของที่พระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่3 เเละนิโคลัสที่2 สั่งทำให้ภรรยา
อย่างเช่นใบนี้เป็นไข่อีสเตอร์ที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 สั่งทำให้พระมารดา เป็นต้นไม้ที่ใบทำจากnephrite เมื่อไขลาน จะมีนกโผล่ขึ้นมาด้านบน
หรือใบนี้ที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่2 สั่งทำให้พระราชินี เป็นดอกLilies of the Valley ตกเเต่งด้วยเพชรเเละไขมุก ด้านบนเมื่อไขลานจะมีภาพพระองค์เเละบุตรสาวทั้ง 2 โผล่ขึ้นมา
ใบนี้เป็นไข่ใบสุดท้ายที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่2 มอบให้พระมารดา ก่อนเกิดการเปลี่ยนเเปลงการปกครอง จะเห็นได้ว่าไข่มีความเรียบง่ายมากขึ้น เพราะรัสเซียอยู่ในยุคข้าวยากหมากเเพง ประชาชนเริ่มทนกับการกดขี่เเละสงคราวไม่ไหว ด้านหนึ่งของไข่เป็นรูปของเจ้าชายอเลคซิส ลูกชายของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่2 ผู้ซึ่งป่วยเป็นฮีโมฟีเลีย
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายใบที่มีประวัติน่าสนใจครับ เดินดูได้เพลินๆ
นองจาก Blue Room เเล้วยังมีห้องอื่นๆอีกหลายห้อง จัดเเสดงข้าวของเครื่องใช้สวยๆมากมาย ดูใกล้ๆเเล้วจะเห็นว่างานละเอียดมากครับ
นอกจากนี้ยังมีงานทางศาสนาเช่นIcon เเละหนังสือที่ตกเเต่งด้วยอัญมณีจำนวนมาก สำหรับผม รู้สึกคุ้มครับที่ได้มาชม
7.Saint Petersburg Mosque
สำหรับสถานที่เเห่งนี้ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากป้อมปีเตอร์เเอนด์พอล เห็นภาพจากใน ig เเล้วสวยดีเลยเเวะมาดู ตอนผมไปตัวMosqueไม่อนุญาติให้เข้าชมด้านใน เลยได้เเต่รูปด้านนอกครับ ดูเเล้วสวยดีครับ
8.Street Art Museum
สำหรับที่นี่ผมก็ไปตามรีวิวเหมือนกันครับ เป็นพิพิธภัณฑ์จัดเเสดงStreet Art ซึ่งมีทั้งงาน Indoor เเละ Outdoor ซึ่งเอาจริงๆ พอไปเเล้วเเอบรู้สึกไม่คุ้ม เพราะอยู่ชานเมือง ต้องนั่งTaxiมา เเละตัวผมเองก้ไม่ใช่คนที่เสพงานศิลป์เเบบconceptual จ๋าๆด้วย พอมาถึงเลยได้เเต่เดินงงๆ เเล้วก็กลับ (ให้อารมณ์เหมือน MoMa ที่นิวยอร์ค เเต่เป้นเวอร์ชั่นติดดินกว่า) น่าจะเหมาะกับพวกฮิปสเตอร์ครับ
9.ST PETERSBURG DOWNTOWN
นอกจากที่เที่ยวหลักๆเเล้ว ผมว่าSt Petersburg เป้นเมืองที่เดินเล่นสนุกดี ตลอดเเนวถนนNevskyมีร้านค้า บาร์ คาเฟ่ ให้เเวะได้ตลอด ทางเท้ากว้างมาก เดินสบาย ไม่เเออัด เเถมสินค้าเเละค่าครองชีพไม่ต่างจากไทย (เเอบถูกกว่าด้วยซ้ำ)เหมาะมากที่จะเอาไว้เดินเล่นครับ
ระหว่างทางจะมีสวนเล็กๆเเทรกอยู่เป็นระยะๆ เบื่อๆเมืองก็มานั่งเล่นในสวนได้
สำหรับสายการเเสดง ที่นี่มีการเเสดงบัลเลต์ที่Mariinsky Theatre ซึ่งผมมาชมเเล้วประทับใจนะ ทั้งการเเสดงเเละโรงละครทำได้ดีทีเดียว ใครที่จองบอลชอบที่มอสโควไม่ทัน มาดูที่นี่ก็ได้ครับ อาจจะไม่อลังการเท่า เเต่ถือว่าดีทีเดียว
สำหรับเมโทร ความหรูหราของสถานีอาจจะสู้มอสโควไม่ได้ เเต่ก็สะอาดเเละสะดวกดีครับ รถวิ่งถี่มาก (อยากเชิญเเอร์พอร์ตลิงค์ไปดูงาน)
สำหรับสถานีรถไฟหลักที่วิงเชื่อมกับมอสโควก้สะอาดเป็นระเบียบดีครับ มีป้ายเเสดงชัดเจน มีร้านอาหารให้ลากกระเป๋าไปนั่งรอได้ สรุปแล้วเที่ยวง่ายกว่าที่คิดเยอะมาก
ขอจบการรีวิวไว้ที่ คห นี้ครับ กระทู้หน้าจะพาไปทานอาหารที่ร้านต่างๆที่ผมได้ไปมาในทริปรัสเซียครับ