3 วัน 3 คืน

Backpack เที่ยวเวียดนามใต้คนเดียว ฉบับหลุดขอบฟ้า (โฮจิมินห์ ปะมุ่ยเน่)

วันที่เขียน 28/04/2020
ยอดเข้าชม

277

Backpack เที่ยวเวียดนามใต้คนเดียว ฉบับหลุดขอบฟ้า (โฮจิมินห์ ปะมุ่ยเน่)

วันที่เขียน

28/04/2020

ยอดเข้าชม

277

#Ho Chi Minh #ท่องเที่ยว

เรียบเรียงโดย PinTrip

ไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยว.. ของคนรุ่นใหม่

Backpack เที่ยวเวียดนามใต้คนเดียว ฉบับหลุดขอบฟ้า (โฮจิมินห์ มุ่ยเน่)    

Pin: เวียดนามใต้

Trip: โดนเท เลยต้องเซไปเอง 3 วันชิลล์ๆ ตัวปลิวที่มุ่ยเน่

Road trip: กรุงเทพ-โฮจิมินห์-มุ่ยเน่

Travel Cost: 1200 บาท สำหรับการใช้ชีวิตในเวียดนาม

Detail: รีวิวการท่องเที่ยวแบบเปิดโลก เปิดประสบการณ์ไปกับ Couchsurfing มีความแหวกแนวจากการเที่ยวธรรมดาอย่างไร มาลองดูกันเลย!!..  

... เที่ยวต่างประเทศ เที่ยวที่ไหนดี? "เวียดนาม" เป็นประเทศหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยที่นักท่องเที่ยวหลายคนอยากจะไปเยือนสักครั้ง ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของภูมิประเทศที่มีหลายฤดูไม่ว่าจะเป็นฤดูร้อน ฤดูฝน หรือฤดูหนาว ทำให้ประเทศนี้มีจุดขายหลายอย่างเช่น สถานตากอากาศสไตล์ตะวันตก เมืองแห่งความรักอย่างฮอยอัน (ฉันรักใครก็ไม่รู้) 555 ทะเลทรายที่ไม่ต้องไปไกลถึงซาฮาร่า รวมทั้งไม่นานมานี้ 2-3 ปีที่ผ่านมามีหิมะตก  

อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่ไม่แตกต่างจากประเทศไทยบ้านเรามากนัก นับว่าครบเครื่องเรื่องปิ้งย่างจริงๆ (มันใช่เวลาหิวไหมเนี่ย) ก็นั่นแหละเวียดนามมีความน่าสนใจที่มีความผสมผสานหลายอย่างเข้าด้วยกัน และด้วยภูมิประเทศนี้มีความยาวมากกว่ากว้างจึงเกิดการท่องเที่ยวแบบเวียดนามเหนือ เวียดหนามกลางบ้างล่ะ แต่สำหรับรีวิวนี้เราขอนำเสนอการท่องเที่ยวเวียดนามใต้ เพราะเวียดนามใต้มันมีอะไรที่ทำให้คุณนั้นต้องอยากไป (เอ้าาาา เพลงมา!) 


ตอนที่ 0 เรื่องเล่า เช้านั้น

คุณคงจะเคยอยากไปเที่ยวที่ใดสักแห่งหนึ่ง สิ่งที่คุณต้องการหนีบข้างกายไปด้วยคงจะไม่พ้นเพื่อน แต่วันแล้ววันเล่าเหมือนเรื่องเศร้าจะมาเยือนเมื่อไม่มีแม้แต่ใครสักคนจะว่างไปกับคุณ แต่เฮ่ย!! แพลนที่วางไว้ สถานที่ที่อยากจะไป มันจะต้องผลัดวันประกันพรุ่งอีกสักกี่ครั้ง หากเรายังละล้าละลังต้องรอใครที่ยังไม่พร้อมไปกับเราแล้วเมื่อไหร่จะได้ไป บางทีการไปเที่ยวก็คือการออกจากโลกเดิมๆไปในที่ใหม่ๆ ไปเลยสิ แค่คุณคนเดียวพร้อมก็พอ  

หลังจากที่แพลนทีวางไว้ล่มไม่เป็นท่า เพราะเพื่อนที่เราคิดจะเกาะติดหนึบหวังมันเป็นที่พึ่งได้โบกมืออำลาขอไปคราวหน้าละกัน เรียกว่าเทกันก่อนวันบิน คิดว่าหลายๆคนคงเคยเป็นเหาของทริป คนที่ทำอะไรไม่ค่อยเป็น คนที่ให้เพื่อนนำทางไปเกือบทุกอย่าง คนที่เป็นผู้ตามมาตลอด แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ฟ้าก็มาผ่าลงมา ต้องขอร้องอ้าววววววววว ดังๆ แต่ก็ไม่เป็นไร คิดว่าจะไป ก็ต้องได้ไป เอาล่ะ มาลองกันสักครั้ง การไปต่างประเทศคนเดียวมันจะซักแค่ไหนกัน ไม่ลอง ก็ไม่รู้ แมวเก้าชีวิตอย่างเราต้องรอดดิ 555  

และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง เดินทางมึนๆมาสนามบินดอนเมืองคนเดียว เหลียวมองเราข้างให้ความรู้สึกอ้างว้างชอบกล แต่ก็ตื่นเต้นดี มันต้องมีอะไรดีๆรอเราอยู่ข้างหน้า 555 (ปลอบใจตัวเอง) ที่นี้ก็เริ่มมองหาเพื่อนร่วมทางตามทางเดินบ้างล่ะ ใครบ้างที่เราจะสามารถเกาะไปได้ แล้วสายตาก็ไปปะทะกับเหยื่อ เอ้ยยย เป้าหมาย 555 เป็นผู้ชายวัยรุ่นเหมือนนักท่องเที่ยวที่ชอบเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว ลุยๆ หล่อด้วย (นั่นมันใช่เรื่องไหมน่ะ)  

แต่ในขณะที่กำลังจะตะครุบเหยื่อ พ่อหนุ่มหน้ามนก็เดินไวซะเหลือเกิน พริบตาเดียวหายไปกับฝูงชนขึ้นเครื่องไปซะละ แห้วเลย เอาวะ พึ่งพี่กูก็ได้ (Google ไงจะอะไรอีกล่ะ 555) ในการเดินทางครั้งนี้เราเลือกเดินทางโดยสายการบิน Air Asia พี่หางแดงจุ๊กกรู๊ๆ เพราะเที่ยวบินเยอะดี โปรออกมาบ่อย แต่ด้วยความรีบของเราทำให้ไม่ได้มาในราคาโปร 555 แต่ก็ไม่เป็นไรปกติก็ใช้บริการบ่อยอยู่แล้ว (จริงๆเก็บแต้ม รอบินฟรี อมยิ้ม06)  

แสงอาทิตย์ยามเช้านี่มันสวยจริงๆนะ ให้ความรู้สึกว่าการเดินทางของเราข้างหน้าจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ (ไหนอุโมงค์??) พูดมากจัง ขึ้นเครื่องกันเถอะ ปะๆๆ  

โดยสารโดยเครื่องบินลำเล็กของสายการบินแอร์เอเชีย ตอนเช็คอินถ้าใครอยากเห็นวิวบนฟ้าก็บอกพนักงานล่วงหน้าด้วยว่าขอที่นั่งริมหน้าต่างจ้ะ ส่วนเรา เราระบุขอริมหน้าต่างและกลางลำ (เสมอแนวปีก) เพราะนั่งแล้วสมดุลสุด เวลาเกิดกรณีเครื่องตกหลุมอากาศจะได้รับ Effect น้อยสุด (ตามประสบการณ์ส่วนตัว)  

เดินเข้ามาภายในตัวเครื่องแล้ว (จำเป็นไหมต้องบรรยายขนาดนี้?) 555 เอาน่ะเราอยากให้ความรู้สึกเหมือนคุณกำลังไปกับเราอยู่ แล้วเราคือผู้นำทางที่ยิ่งใหญ่ หัวเราะในลำคอ หึหึ (ใครสักคนมาสะกิดที) ด้วยความที่เป็นไฟต์เช้า แน่นอนคนย่อมน้อย ในความรู้สึกเหมือนเป็นแขก Vip เหมาลำ เดินทางบินพร้อมญาติสนิทมิตรสหายประปราย 555 บางคนลืมบอกขอนั่งริมหน้าต่างตอนเช็คอินไม่ทัน ก็สามารถย้ายที่ไปนั่งริมหน้าต่างได้นะ เมื่อเครื่องบิน บินในระดับคงที่ ที่ล็อคเข็มขัดถูกปลดออกแล้ว เพราะที่นั่งเหลือ และโล่งจริงๆ เราก็สามารถกระดึบๆไปแตะเส้นขอบฟ้ามองดูข้างล่างได้  

ขอบคุณตัวเองที่สนับสนุนการเดินทางในเครื่องนี้ (แบบนี้ก็ได้เหรอ?)

... ในการขึ้นเครื่องก็อย่าลืมอ่านเอกสารสำคัญ วิธีป้องกันตัวเอง ภัยฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อหาทางหนีทีไล่ให้กับตัวเองด้วยล่ะ หรือไม่ก็สนใจเวลาพนักงงานแนะนำวิธีการใช้งานออกซิเจนต่างๆ เพื่อประโยชน์ในภายภาคหน้า (ทำไมมีสาระ?) 555 เอาน่ะอ่านๆ ฟังๆไว้ก็ดี แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว รู้ไหมบางทีอาจจะมีโปรโมชั่นดีๆซุกซ่อนอยู่ในที่เก็บของก็เป็นได้ ด้วยมืออยู่ไม่นิ่ง มันต้องกระตุกไปหยิบนั่นหยิบนี่มาดูสักหน่อยทำให้เราได้ Gift Voucher มาหลายใบแล้ว ลองคุ้ยๆ เอ้ย หยิบมาดูกันบ้างนะ ยิ่งถ้าใครเดินทางในช่วงมีเทศกาลต่างๆอาทิ เช่น ปีใหม่ บางทีสายการบินนี้อาจซ่อนของขวัญมอบให้คุณก็เป็นได้ (โฆษณาเหมือนโดนว่าจ้าง 555) เอาน่ะ ยังไงมันก็มีประโยชน์กับทุกคนน่ะ Air Asia ไม่ได้จ้างหรอก แต่ถ้าทางทีมงานผ่านมาเห็นข้อความนี้ จะจ้างในโอกาสดีๆถัดไปก็ได้ แฮกๆๆ (ขุดหลุมไว้ๆๆ)  

เอาล่ะ บินไปสักทีซิ โม้น้ำลายหกไปเป็นลิตรๆแล้ว แต่อะไรคือการที่คนเดินขึ้นเครื่องมากมายแต่ท้ายสุดแล้ว ไม่มีใครอยากนั่งใกล้เรา T_T  ไปไหนกันหมดดดดดด  

ขอบคุณการเดินทางของตัวเองในเครื่องนี้ จ่ายตั๋ว Economy ให้ความรู้สึก Vip 555

วิวข้างล่างสวยดี ไปกันเลยพี่หางแดง  


ตอนที่ 1 สวัสดี โฮจิมินห์ ถิ่นแมงกะไซค์

หลังจากข้ามน้ำ ข้ามทะเล ข้ามภูเขาลูกแล้วลูกเล่า (เหมือนไกล) ด้วยระยะเวลา 2 ชม พี่หางแดงก็แลนดิ้งลงอย่างสวยงาม และแล้วเราก็เดินทางจากกรุงเทพถึงโฮจิมินห์ด้วยสวัสดิภาพ ต่อไปก็เป็นขั้นตอนหาเหยื่อ (สายตาลอกแลกมาก) มองเห็นหญิงสาววัยรุ่นคู่หนึ่งแต่งตัวด้วยชุดพร้อมลุย ดูท่าทางแล้วไปมุ่ยเน่แน่ๆ ตามเลยๆ ทักดีไหมว้า หรือไม่ทักดีว้า ไหนก็ๆมาคนเดียวละ เวลามักไม่ค่อยให้เราตัดสินใจได้นานนัก พริบตาเดียวเหยื่อของเราก็หายออกจากสนามบินไปเสียแล้ว แห้วอีกละ 555 ไหนก็มาคนเดียว เปรี้ยวๆไว้ดิเห้ยยย   

เอาล่ะ สเต๊ปต่อไปเราก็ต้องหาซิมเพื่อประคองชีวิตน้อยๆที่เหลืออยู่ (นั่นคือเหตุผลที่ไม่สามารถออกจากสนามบินตามไปได้) ก็ตามที่อ่านพันทิปๆมาเห็นแนะนำว่าออกจากเครื่องมาแล้วก็เดินตรงมาเรื่อยๆตามทางออก แต่ก่อนออกให้จะมีร้านจำหน่ายซิมเยอะแยะ เราก็มองหาเป้าหมายเห็นเขาแนะนำว่าให้ใช้ Vinaphone (กระทู้นั้นบอกมา) และเราลืมแล้วกระทู้ไหน 555 ก็เดินไปต่อแถวเลย แถวยาวมากกกกก (สงสัยจะดีจริงๆ) เห็นเขาว่าถูกและใช้ดีจึงแนะนำ (ลองสังเกตร้านข้างๆ ไม่มีคนต่อแถวหรือมุงเยอะเหมือนร้านนี้เลย หรือเขาซื้อ เพราะเห็นคนอื่นซื้อกันนะ เลยตามๆกันไป ก็แอบคิดในใจ )  

ขอภัยในความไม่ชัด เพราะภาพโดนสะกัดดางรุ่ง 555

ต่อแถวไปได้สักพัก มนุษย์จีนเพื่อนรักก็มาแทรงคิวเฉย 6 คน ก็อ้าวววว เลย ด้วยความไม่ค่อยเป็นคนมีปากมีเสียง ก็ไม่เป็นไรยอมๆไป เพิ่งมาถึง ขี้เกียจมีเรื่อง ก็ต่อแถวนานได้เกือบ 20 นาทีเหลืออีก 3 คนจะถึงคิวเราละ host ที่เราติดต่อไว้ว่าจะไปพักบ้านเราก็แชทมาหาว่าถึงยัง ทำไรอยู่ เราก็บอกไปว่าเนี่ยๆกำลังซื้อซิมอยู่ เจ้านี้นะๆ host ก็บอกว่า ให้เปลี่ยนเจ้า ให้ไปซื้อ m phone เราก็อ้าวววว อันนี้ไม่ดีเหรอ host ก็บอกว่า ก็ดีนะ แต่ไม่เหมาะสำหรับใช้ใน countryside นะยู้วววว แล้วแต่ละที่ๆที่ยูจะไปน่ะ ใช้ซิมนี้สัญญานขาดๆหายๆแน่ เพราะมันเหมาะกับในเมืองมากกว่า ถ้ายูมามุ่ยเน่ และยูจะไปนุ่นๆ นุ่นๆ นี่ๆ ต่อนะ m phone ดีกว่า เหมาะกับต่างจังหวัด แต่แพงกว่า 

เราก็คิดในใจ เหลืออีก 3 คนนะ แล้วเจ้านี้คนก็ต่อเยอะดี แต่เจ้าที่ host แนะนำคือคนโล่งมาก แอบมีความลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมสละออกจากแถวมาซื้อซิมของ M Phone แทน ด้วยความคิดว่าคนพื้นที่เขาก็ต้องรู้ดีดิว่าซิมอะไรเหมาะสำหรับที่ที่เขาใช้ชีวิตอยู่ บ่เป็นหยังๆ ทีนี้ก็ย้ายร้านมา M phone อยู่ใกล้ๆกันนั่นแหละ เขาจะยื่นโปรโมชั่นให้ดู มียังงี้ๆนะ ยูจะอยู่กี่วัน จะไปที่ไหน เขาก็แนะนำให้  

MPhone จะเป็นซิมค่าย Vettle เราก็เลือกตัว 290.000 dong มา เหมาะกับเราสุดละ  

จัดการเรื่องซิมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาตามล่าหา Bus เข้าเมืองละ โดยเราจะต้องไปที่ตลาด Bến Thành Market  เพื่อหา Bus นั่งไปมุ่ยเน่ เพราะที่ Bến Thành Market  นั้นจะเป็นศูนย์รวมกันเดินทางไปในหลายๆที่ ที่นี้ไปอย่างไร? เราก็มองหา Bus เลข 152 ก็คือเดินออกจากสนามบินมาให้เลี้ยวขวาแล้วเดินประมาณ100 เมตร จะเป็น bus เลข 152 อยู่ฝั่งตรงข้าม ก็เดินข้ามไปเลย  

เพื่อความชัวร์ก็ถามคนขับด้วยนะว่าคันนี้ไป Bến Thành Market ใช่ไหม ถ้า Yes ก็ขึ้นรถโล้ดดดด  

ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง 5.000 dong ประมาณ 8 บาท  

แต่ถ้าใครผีบ้าหอบฟางพะรุงพะรังแบกของเกินกว่าที่นั่ง 1 คนก็อาจจะถูกเก็บ 2 เท่า แต่ก็ถือว่าถูกอยู่นะ ถูกกว่านั่ง Taxi เข้าเมืองเป็นไหนๆ  ไม่เสี่ยงต่อการโดนโกงด้วย Bus นี้ก็นั่งสบายดี มีแอร์ มี wifi พนักงานบริการดี สามารถบอกเค้าได้ว่าถ้าถึงแล้วรบกวนบอกด้วยน้า  

สภาพและบรรยากาศในรถก็จะเป็นแบบนี้ ค่อนข้างสะอาดเป็นระเบียบดี แอร์เย็นฉ่ำ จนพี่กระเป๋ารถเมล์ต้องของงีบแปบนึง 555 ส่วนเราก็มึนๆ ซึนๆ ดูข้างทางไป พร้อมกับเปิด Map ดูเป็นระยะว่าใกล้ถึงยัง เพราะยังไม่อยากเงิบตั้งแต่เริ่มต้น  

และแล้วเราก็มาถึงจุดหมาย Bus ก็จะเทเราลงตรงนี้ (เหมือนตัวไรน่ะ 55) ทีนี้ยังไงต่อดีล่ะ ก็ต้องหารถไปมุ่ยเน่ ไง ทีนี้เราก็ถาม Host (เดี๋ยวจะกล่าวในตอนถัดไปว่า Host มีที่ไปที่มาอย่างไร) ว่ายูๆ ไอจะต้องไปหารถไปมุ่ยเน่ของเจ้าไหนล่ะ (ละทิ้งความรู้ในพันทิปมาทั้งสิ้น) ขอลองเจิมประสบการณ์ใหม่ๆแนะนำโดยคนพื้นที่ละกัน เผื่อจะได้เจออะไรที่แตกต่าง เห็นมีคนแนะนำ Viet Sea เยอะ คนไทยชอบใช้บริการนี้ แต่เราก็ไม่รู้หรอกนะว่าดีหรือไม่ดี เอาไว้คราวหน้าละกันเนอะ เราเป็นพวกชอบออกจาก Comfort Zone 555 เอาน่ะ ต้องลองอย่างอื่นบ้าง เลยไปตามหาเจ้า Hanh café ก็ห่างจากตรงนี้โลนิดๆ ก็ไม่เป็นไร เดินไหวๆ ถือว่าชมเมืองไปด้วย  


Bến Thành Market  (GPS: 10.794288, 106.652779)  

เราก็ปัก Map แล้วเดินไปเลย ข้ามถนนเยอะมาก ลุ้นดีว่าจะถูกมอเตอร์ไซค์กินตอนไหน ที่เวียดนามมอเตอร์ไซค์จะเยอะมาก บีบแตรสนั่นหวั่นไหว ขี้หูเต้นระบำกันเลยทีเดียว ในที่สุดก็มาถึงย่านที่เป็นแหล่มรวมบริษัททัวร์ Hanh café ก็เป็นหนึ่งในนั้น ก็หาๆ เดินวกไปวนมาจนถึง เจอ Hanh café 1 2 3 อ้าว อันไหนล่ะทีนี้ ก็เลยถ่ายรูปไปให้ Host ดู Host ก็บอกว่าไม่ใช่ๆนะยู อีกทีนึงๆ เดินไปเดินมาสักพักก็ได้ Hanh café ที่ต้องการ นั่นก็คือร้านตามรูปนี้นะ  


Hanh Café (GPS: 10.768493, 106.692610)

เราก็ดูรอบตามตาราง Sleep bus ตกลงซื้อ ในราคา 110.000 dong (ที่นี่ไม่รับเงินดอลล่านะ) ก็แปลกใจอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไรแลกเงินดองมาพันนึงอยู่  

ตาราง Sleep bus ของ Hanh café  

110.000 dong ประมาณ 175 บาท  

แล้วก็บอก Host ว่าไอจะไปถึงเวลาเท่านี้ๆนะยู เค้าก็บอกโนวๆ ยูควรมาเร็วกว่านี้ เดียวมาถึงค่ำเลยนะ ให้ไปหาทัวร์เจ้าอื่นดู ว่ามีเวลาไหนเร็วกกว่านั้นบ้าง ตอนนั้นก็ 11 โมงละไง Host ก็แนะนำอีกเจ้านั่นก็คือ The shinh Tourist ค่อนข้างดีทีเดียวล่ะ สำนักงานใหญ่โต ดูดีกว่า Hanh Café เยอะ อยู่ห่างจาก Hanh Café 1 แยกไฟแดงเอง  


The sinh Tourist (GPS: 10.768385, 106.693685)

ขณะที่กำลังถ่ายรูปอยู่ดีๆ ฝนก็ตก เทลงมา เย่!!! รออะไรล่ะ ก็เดินเข้าข้างในเลยละกัน The Sinh Tourist ก็จะมีตาราง Sleep bus โชว์เด่นหราหลายเมืองเลย ทำให้เราเช็คได้ว่าวันๆหนึ่งมีรอบไปที่ไหนอย่างไร กี่รอบบ้าง ดังนั้น Save ไว้ก็ดี เผื่อมาตายเอาดาบหน้าแล้วเงิบ เพราะบางเมืองมีแค่รอบเช้า 1 รอบ เย็น 1 รอบเอง  

ตาราง Sleep Bus ของ The Sinh Tourist (ต้องการภาพชัด โหลดได้ที่ https://drive.google.com/file/d/0B8AU-rLqBfAebUpDNDBoM2hUZUk/view?usp=sharing)

คุยกับพนักงานไปๆมาแล้ว ปรากฏว่ารอบรถที่ออกไม่ต่างจาก Hanh Café เท่าไหร่เลย อีกทั้งยังมีราคาที่สูงกว่า ถ้าจำไม่ผิด 160.000 dong มั้ง ถ้าจำผิดแปลว่าไม่ใช่ 555 ก็เลยตัดสินใจไม่ยกเลิกตั๋วของ Hanh Café ก็เดินๆหาอะไรกินแถวๆนั้น เพราะฝนตก โชคดีมีร้านอาหารอยู่ข้างๆ The Sinh Tourist พอดี เลยไม่รอช้า เคลื่อนที่ด้วยวิถีการโผอย่างไว (เดี๋ยวๆๆ) 

ภายในร้านก็ตกแต่งดี อาหารก็มีให้เลือกหลายเชื้อชาติไม่ว่าจะเป็น Italian, Vietnamese, Tex Mex, Asian, Inter และเครื่องดื่มอีกมากมาย ละลานตา เมนูเยอะมาก คิดไม่ตก จนมาจบที่ Burger หมูเบคอนละกัน สนนราคาอยู่ที่ 125 บาท ระหว่างที่รอก็แอบเหล่ลุงข้างๆไปพลางๆ ชิวดี  

ด้วยความที่ใช้กล้องใหญ่ยังไม่ค่อยเป็น เปิดแฟลชยังไงก็ติดเงา เลยได้ภาพน่ากินๆแบบอาร์ตๆมีเงาวับแวมแซมๆหน่อยละกัน 55 (พยายามแล้ว)  

และแล้วมื้อเที่ยงแทนอร่อยก็จบลง เหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงเศษๆเลยออกมาเดินเล่น ท้าแมงกะไซค์ ชนมั๊ย ชนไม่ชน เอ้าชนนน!! 555 ก็ถ่ายรูปตามท้องถนนไปเรื่อยๆ ที่นี่มอเตอร์ไซค์เยอะมากๆ ขับกันเซียนมากๆ และรถแต่ละคนก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมีการตกแต่งนั่นนุ่นนี่ ข้ามถนนระวังดีๆ เพราะที่นี่เขาขับเลนขวา ไม่เหมือนบ้านเรา (บางครั้งก็สับสนบ้าง เกือบจะโดนกินบ้าง) 555 แต่ที่นี่เขาฮิตบีบแตร ถ้าเราขวางทางเค้า เค้าก็จะส่งสัญญานเตือนมาเอง ถ้าไม่ขวาง ยังไงก็บีบอยู่ดี (เอ๊ะยังไง?) คนแถวนี้ใจดีบางทีข้ามถนน เค้าก็เดินมาขวางรถให้ เหมือนเราป้ำๆเป๋อๆ 55 มาดูกันตามท้องถนนเวียดนามเป็นยังไง มาๆๆ  

พี่ใหญ่ จอดเท่ๆ ก็เจ๋งแล้ว  

แชว้บบบบบ รถสวนกันไปมาทุกทิศทาง เลยเอางงไปสักพักว่าจะข้ามถนนยังไง  

ตามมาติดๆกับลุงสุดเฟี้ยว เลี้ยวขวาไปอย่างสวยงาม พร้อมแมงกะไซค์คู่ใจ คล้ายเวฟบ้านเราเลย  

งานนี้พี่สามล้อก็ขอส่งเข้าประกวดด้วยสักหน่อย  

ขับมาเป็นขบวนยาวเลย แต่ทำไมต้องชู 2 นิ้วเหมือนกันด้วยนะ 555 ถ้าใครสนใจนั่งรถชมเมือง ก็ใช้บริการได้

ถ่ายไปอีกสักพัก ผู้เข้าประกวดคนถัดไป ก็พาลูกรักมาให้เราได้ยลโฉม กินเยอะๆหน่อยนะ ผอมไปแล้ววววว  

ลำดับถัดมาก็ขอเชิญพบกับรถอะไรเนี่ย ขนของใช่ไหมอะ เรียกคันนี้ว่า 3 ล้อ ท่อระเบิดแล้วกัน  

ต่อมาก็ขอเชิญพบกับ Biker สุดเฟี้ยว เลี้ยวจนเสื้อขาด ลุงๆ เซ็กซี่จุงงงงง  

แม่สาวเสื้อแดง รถแดงแรงฤทธิ์ก็มา อะฮ้าาา ที่นี่ฝุ่นค่อนข้างเยอะ แดดจัดบ้าง มีผ้าปิดปากขณะขับขี่ก็ดี  

พอๆ เลิกถ่ายไปได้แล้วไอ้หนู (พ่อมาแล้ววววว) 555 ไม่ใช่ละ พี่เขาเท่จริงๆ อย่างกะมาเฟียแหนะ แต่ที่ต้องเลิกถ่ายเพราะผู้รักษาความปลอดภัยแถวนั้นมาบอกว่าอย่าถ่ายรูปข้างฟุตปาทเลย เดี๋ยวโดนกระชากกล้องนะ แถวนี้อันตราย บลาๆ โอเคครับ เก็บกล้องก็ได้ ไปรอรถที่ Hanh Cafe เลยละกันเหลืออีกครึ่งชั่วโมง รอสักพักรถก็มาก็ได้ข  

สวัสดีพี่หมีโคอาล่ามาร์ช สิ่งศักดิ์สิทธิ์น่าบูชาหน้ารถตู้  

ใช้เวลาเพียง 10 นาที และแล้วรถตู้ของ Hanh Cafe ก็พาเรามาถึงท่ารถทัวร์ เพื่อเดินทางไปยัง Mui Ne  

นี่คือรถทัวร์ของ Hanh Cafe ถือว่าสภาพดีทีเดียว รอบๆก็จะเป็นท่าจอดรถเมล์ รถทัวร์ของเจ้าอื่นๆ เรียกได้ว่าที่นี่เป็นศูนย์รวมท่ารถก็เป็นได้ ทำไมถึงเลือก Sleep Bus เพราะในการเดินทางออกจากโฮจิมินห์ไปยังมุ่ยเน่ ใช้เวลานานกว่า 5 ชั่วโมง ดังนั้น Sleep Bus จึงเป็นคุณค่าที่คุณคู่ควร  

ข้างใน Sleep Bus ก็จะเป็นแบบนี้ ก่อนขึ้นรถต้องถอดรองเท้าด้วยเพื่อรักษาความสะอาด พนักงานจะเตรียมถุงใส่รองเท้าไว้ให้ ในส่วนของเบาะสามารถปรับขึ้นลงได้ โชคดีหน่อยที่เราได้ที่นั่งชั้นบน เพราะจะได้ไม่ระแวงว่าใครจะหย่อนขามาฟาดหัวไหม 555 ในส่วนของการเหยียดขาค่อนข้างลำบากนิดหน่อย ขนาดเราตัวเตี้ยยังนอนยากเลย แล้วคนที่ตัวสูงล่ะจะเป็นเช่นไร แต่ด้วยความเป็นคนชอบนอนชันเข่าอยู่แล้ว ดังนั้นเลยสบายมาก ด้านหน้าก็จะเป็นที่วางของ และมีช่องใส่น้ำด้วย บนรถแจกน้ำฟรี  

จงมานอนเดี๋ยวนี้ อีกหลายร้อยนาที พี่จะมาไปเที่ยวมุ่ยเน่!! Zzz


ตอนที่ 3 สวัสดี มุ่ยเน่

เดินทางไปสักพักประมาณ 3 ชั่วโมงก็ถึงจุดแวะพักรถ ที่นี่ก็จะมีของขายหลายอย่างอารมณ์เหมือนร้านขายของฝากแถวบ้านเรา  มีร้านอาหาร และห้องน้ำบริการด้วย ตอนจะลงรถไม่ต้องเตรียมรองเท้าลงมาด้วย  เพราะว่า Hanh Café จะเตรียมรองเท้าไว้ให้ใส่ลงไปอยู่แล้ว แต่ถ้าใครไม่สะดวกก็ใช้รองเท้าของตัวเองก็ได้  

ด้วยความที่มีเงินดอลล่าติดตัวประมาณ 3000 บาท และเงินดองเวียดนามเกือบพันบาท ด้วยความเยือนเวียดนามแถบนี้มาได้สักพักทำให้รู้ว่าเขาพึงพอใจที่จะรับเงินดองมากกว่าเงินดอลล่า ก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน เพราะตอนไปเวียดนามเหนือจะนิยมรับเงินดอลลล่ามากกว่า ดังนั้นเลยเดินไปที่ร้านขายของฝากซึ่งค่อนข้างใหญ่  จึงเดาว่าเขาน่าจะรับเงินดอลล่า และกะว่าจะแตกแบงค์ดอลล่าที่นี่ ก็เลยไปหยิบๆขนมมาสักกล่องและนมสักขวด ปรากฏว่าก็เป็นไปตามคาด ร้านนี้รับเงินดอลล่าจ้า ไชโย!!! เดินสำรวจบริเวณรอบๆจนครบเวลาพักแล้ว จากนั้นก็เลยขึ้นรถเตรียมเดินทางไปต่อ  

จวบจนพระอาทิตย์ตกดิน Sleep Bus ก็พาเรามันถึง Binh Thuan (มุ่ยเน่ เป็นเมืองที่อยู่ในจังหวัด Binh Thuan) นั่นก็คือเรามาถึงตัวเมืองแล้ว ก็เลยแชทบอก Host ว่ายูๆ ไอใกล้จะถึงละนะมารับได้เลย (Host จะมารับที่ท่ารถ ใจดีจริงๆ) จนกระทั่งเวลา 6 โมงครึ่ง Sleep Bus ก็มาถึงท่ารถ โบกมืออำลาบ๊ายบายกัน รอไม่นาน Host ผู้แสนใจดีก็แว๊นซ์มอเตอร์ไซค์มารับ ทักทายกันพอเป็นพิธีก็แว๊นซ์ไปด้วยกัน  

Host ก็บอกว่าจะไปถ่ายวิวทะเลทรายกลางคืนไหม อยู่ห่างจากบ้านไม่มาก แค่ 15 นาทีเอง ยูสนใจไหม เราก็ถามว่า เฮ้ มันไปกลางคืนได้เหรอ Host ก็บอกว่าไปได้ๆ จะพาไปทะเลทรายที่เห็นวิวตัวเมืองด้วย เราก็สนใจ ไปๆๆ ไปกัน ถ้าได้ภาพวิวทะเลทรายกลางคืนน่าจะสวยไปอีกแบบ เพราะไม่ค่อยเห็นมีใครถ่ายทะเลทรายกลางคืน แล้ววันนั้นดาวแจ่มจรัสฟ้ามาก Host ก็ขับรถแว๊นซ์พาไปทะเลทรายอะไรสักอย่าง ซึ่งไม่ใช่ White Sand Dune หรือ Red Sand dune  

ทางค่อนข้างชันและเปลี่ยว มืดด้วย ไม่มีรถสวนมาเลย ไอเราก็คิดในใจเอ้ จะพาเรามาฆ่าไหมนะ แต่ก็ใจดีสู้หมีไปก่อน 555 ด้วยความที่เช็คประวัติมาพอสมควรแล้วว่า Host คนนี้ไว้ใจได้ (เดี๋ยวจะกล่าวในตอนถัดไป ที่ไปที่มาอย่างไร) แล้วไม่นานก็มาถึงจุดหมาย วิ้งๆๆๆๆ เอิ่มมม... มันมืดมากอะ แล้วเปลี่ยวเวิ้งว้างมากเลย แต่มองเห็นวิวตัวเมืองระยิบระยับไปหมดเลย ไอเราก็มือใหม่หัดใช้กล้อง ถ่ายยังไงเนี่ย เปิดแฟลชก็แล้ว ยังไงก็แฟลช แทบจะใช้ Google อ่านวิธีถ่ายภาพกลางคืน+ดาว+แสงเมือง ยังไงดีเนี่ย พยายามไปสักพักก็ยอมแพ้ 555 Host ก็ว่ากลับกันเถอะมันมืดมาก เดี๋ยวตอนเช้าจะพาไปทะเลทรายละกัน เราก็โอเคๆ กลับบ้านกัน บ้าน Host จะอยู่ใกล้ๆกับมุ่ยเน่เลย แล้วนี่ก็คือถนนทางไปมุ่ยเน่ ถนนดีเลยล่ะ Host ก็แนะนำนั่นนุ่นนี่ตลอดทาง ผ่านสถานที่ใดก็จะบอกว่ามันยังงั้นยังงี้ๆนะ  

เพียง 10 นาทีเราก็เดินทางมาถึงที่พักของ Host ที่พักแห่งนี้จะแบ่งเป็นบ้านหลายๆหลังปลูกติดกัน ส่วนมากชาวต่างชาติจะเช่ากันอยู่ ฝรั่งเศสเอย เยอรมันเอย สเปนบ้างล่ะ เรียกว่าหาคนเวียดนามไม่เจอกันเลยทีเดียว 555

Host ก็พาเราเข้าบ้าน ก็พาไปแนะนำกับแม่เขา และลูกสาวแสนซน ส่วนภรรยายังไม่กลับมา บ้าน Host จะอยู่ด้วยกัน 4 คน นั่นคือ Host แม่ยาย ลูกสาว และภรรยา ตอนนี้ก็กลายเป็น 5 ละ เพราะบ้านนี้ได้ตอนรับสมาชิกใหม่ไฉไลกว่าเดิมนั่นคือเรานั่นเอง 55 ลืมบอกไป Host เราเป็นชาวรัสเซียพูดภาษาอังกฤษได้นิดนึง แต่ก็พอสื่อสารกันได้อยู่ เราพึ่งมารู้ตอนหลังว่าช่วงระยะเวลาที่คุยกันก่อนจะมาเยือนเวียดนามเขาใช้ Google Translate สื่อสารกับเรามาตลอด เราก็อ้าววววเลย 555 เขาบอกว่าภาษารัสเซียเวลา Translate ใน Google ค่อนข้างแม่นยำ ไม่เหมือนภาษาไทยเราแฮะ ก็ดีอะ ทีนี้ก็เฮเลยยย บางทีเขาพูดไม่ได้ เขาจะอัดเสียง Translate คุยกับเรา แปลแบบ Real time 555 ก็สนุกดีเหมือนกัน ขอบคุณ Google ที่ทำให้การสื่อสารของเราไร้พรมแดน  

ส่วนแม่ยายพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ลูกสาวก็ 2 ขวบอยู่ร้อง หิวๆอย่างเดียว น่ารักดี ซนมาก แนะนำอะไรกันเสร็จเรียบร้อย Host ก็พาเราไปดูห้อง โดยเขาเปิดห้องให้เรานอนส่วนตัวคนเดียว 1 ห้อง มีแอร์ด้วยแหละ แค่นี้ก็สบายแล้ว ห้องก็จะเป็นแบบนี้ (ถ่ายรูปภาษาไรเนี่ย)  

จัดของอะไรเสร็จหมดแล้ว Host ก็พาเราไปห้องครัว เขาทำอาหารไว้ให้เราก็จะมีให้เลือกว่ายูจะกินสลัดรัสเซีย หรือจะกินแกงส้มปลาเวียดนาม ละก็มีข้าวต้มเด็ก เราก็เป็นมนุษย์เนื้อหมูซะด้วยสิ 55 งานเข้า ผักเรอะ! ยังไม่อยากเข้าสู่ยุคไดเอทตอนนี้ แกงส้มปลาเหรอ ไม่ชอบกินปลา T_T (มิน่าโง่ 55) ทางเลือกสุดท้าย เอาหว่ะ ข้าวต้มเด็กละกัน กินง่ายสุดแหละ (เรื่องมากจังเรื่องกินเนี่ย) จริงๆก็ไม่ขนาดนั้นหรอก ถ้ามันยังมีตัวเลือกให้เรากินได้ เราก็สามารถเลือกได้ แต่ถ้าไม่มี เรากินอะไรก็ได้ (ไงล่ะ ง่ายมะ เชื่อเถอะ) Host ก็จัดแจงตักข้าวต้มให้เราใหญ่เลย แทบเทหมดหม้อ เราก็แบบ งืออออ ไม่ได้จะอยากกินเยอะขนาดนั้น ไม่ๆยูเดินทางมาเหนื่อยควรกินเยอะๆเดี๋ยวจะหิว โอเคๆ ก็ได้ๆ ก็ไปนั่งกินล่อยุงอยู่หน้าบ้าน  

เอาล่ะได้เวลากินสักที ตักเข้าไปคำแรกปุ๊บ อือหืออออ ข้ามต้มอะไรเนี่ย คือมันไม่อร่อยมากๆอะ เลือกผิดแล้วสินะเรา แต่ก็นะ กินๆ ประทังชีวิตไปเถอะ Host ก็นั่งขนาบข้างเลย จะไม่เลยก็ยังไงอยู่ เขาอุตส่าห์ทำให้เรา หรือไม่ก็เราอาจจะไม่ชินกับรสชาติอาหารรัสเซียก็ได้ ก็คุยกันไป แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันไป จนในที่สุดข้าวต้มทีชามใหญ่เท่าหม้อก็หมดลงเสียที (น้ำตาจะไหล)  

เมื่อเห็นเรากินเสร็จ Host จึงบอกว่าเดี๋ยวไอไปชงกาแฟให้ยูดื่มนะ เราก็ห้ะดื่มกาแฟไรตอนดึกเนี่ย ซึ่งโดยปกติเราก็ไม่ได้เป็นคนดื่มกาแฟอยู่แล้ว Host ก็บอกว่ายูต้องลอง มาเวียดนามเนี่ยต้องได้กินกาแฟนะ ขึ้นชื่อมากๆ ถ้ามาแล้วไม่ได้ดื่มนี่มาไม่ถึงเลย มันไม่เหมือนกาแฟที่คุณเคยดื่มๆนะมา มีความโน้มน้าวเป็นอย่างมาก เราก็โอเคๆ จัดมาโล้ดๆ ลองๆเลยละกัน เขาก็มาชงให้ดูว่ามันชงแบบนี้นะ มันไม่ได้เอากาแฟใส่ถ้วยแล้วเทน้ำลงไปนะ แต่ทำแบบๆนี้ๆ ควบกลั่นจะได้หยดน้ำกาแฟมา (ไม่ได้ถ่าย เพราะอยากลงชงด้วย 55) จนสุดท้ายก็ได้กาแฟสไตล์เวียดนามออกมา ชิมแล้วรสชาติก็อร่อยเลยล่ะ หอมกรุ่น ละมุนลิ้น เราก็ชม Host ก็ยิ้มแก้มปริเลย เนี่ยๆฝึกมาตั้งนานกว่าจะชงได้ ถ้าอยากได้อุปกรณ์การชง เดี๋ยวพาไปซื้อที่ซุปเปอร์มาเก็ตไม่แพงๆ กาแฟที่นี่อร่อย ซื้อกลับบ้านไปฝากคนอื่นๆได้เลย เราก็โอเคๆ จัดไปปปปป  

เวลาผ่านไปเร็วพอสมควรก็จะถึงเวลา 4 ทุ่มละ (ภรรยาของ Host เลิกงาน 4 ทุ่ม) Host ก็ขอตัวไปรับภรรยากลับบ้านก่อนเดี๋ยวมา แต่ก่อนที่จะไป Host ก็บอกเดี๋ยวพวกเราจะจัดปาร์ตี้ต้อนรับยูนะ เป็นปิ้งย่างอะไรขำๆ วัฒนธรรมรสเซีย เราก็โอเคๆได้ๆ เราก็ก่อไฟเราปิ้งบาบีคิวรอที่สวนหน้าบ้าน  

ไม่นานนัก Host ก็ไปรับภรรยากลับมา ภรรยาของ Host น่ารักดี พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ชวนเราคุยตลอดเลย ก็แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันมันส์เลยทีเดียว สักพักแม่ยายกับลูกสาวก็มาร่วมแจมปาร์ตี้บาบีคิวด้วย  


ตอนที่ 4 Host ฟรีมีดีกว่าที่คิด

ปาร์ตี้ก็เป็นไปได้ด้วยดี แม่ยายก็พยายามจะคุยกับเราผ่านภาษามือ น่ารักดี สักพักเพื่อนบ้านก็เริ่มๆกลับมา 2-3 หลังก็มีการทักทายกัน สุดท้ายก็กลายมาเป็นร่วมแจมกัน มีกันหลายเชื้อชาติทีเดียว ที่นี่เขาค่อนข้างต้อนรับคนแปลกหน้า จะยินดีมากๆเวลาคนมาเที่ยว โดยบ้านข้างที่เราพักอยู่ก็เปิดบ้านเป็น Host เหมือนกัน คนที่คุยถูกคอที่สุดคงไม่พ้นหนุ่ม Programmer สัญชาติฝรั่งเศสทีมาไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนมาทำงานที่ไซ่ง่อน กับบริษัท Google เป็นนักเที่ยวตัวโยงเลยแหละ ผ่านการทำงานมาหลายประเทศด้วย ประสบการณ์ค่อนข้างเยอะ ดีกรีไม่ธรรมดาแบบนี้ (น่าจะมีเงินเยอะ) นี่เดาไปเองล้วนๆ555  

ด้วยความที่สงสัยจึงถามไปว่าทำไมถึงมาพักบ้าน Host เหรอ ทำไมไม่ไปพักโรงแรมดีๆ เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนสบายๆ เป็นนักเที่ยว ชอบสัมผัสความเป็นกันเอง ได้มิตรภาพเยอะแยะ ได้เรียนรู้สิ่งที่แตกต่างออกไป บางครั้งมันไม่ได้อยู่ตามหน้ารีวิวที่เราเห็นๆกัน ประสบการณ์แบบนี้มันสุดยอดไปเลยล่ะ (โอ้โหหหห ตอบหล่อมาก 555)  

เขาก็ถามเราเที่ยวมานานยัง พักบ้าน Host ไรแบบนี้เจอไรบ้าง เราก็ หึหึ ปล่าวหรอกนี่ครั้งแรกเลยล่ะที่มาพักบ้าน Host และเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เที่ยวคนเดียว เขาก็โอ้ ยูเจ๋งมาก Crazy girl เดี๋ยวถ้ากลับมาเวียดนามอีกเมื่อไหร่แล้วไปไซ่ง่อนนะ ยูบอกไอด้วย เดี๋ยวไอจะต้อนรับอย่างดีและจะพาไปรู้จักเพื่อนด้วยๆ เราก็โอเคๆ มันรู้สึกดีมากๆเลยล่ะที่มีคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนต้อนรับเราในฐานะเจ้าบ้าน ได้เพื่อนใหม่ ได้ Connection อีกเยอะเลยล่ะ แล้วเพื่อนคนนี้ก็กวนโอ๊ยมาก คุยกันเพลินเชียว เขาจะเบิ้ดกะโหลกเราหลายรอบละทำไมยูกวนกลับได้ขนาดนี้ 555  

ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องกัน (สาระมีอยู่จริง) ว่าด้วยเรื่องของ Host การมาเที่ยวเวียดนามครั้งนี้ของเรา เราอยากจะหาประสบการณ์ใหม่ๆด้วยละทิ้งรีวิวแนะนำหลายๆไว้ข้างหลัง แล้วให้เจ้าบ้านนำว่าควรไปทีไหน เอาล่ะในส่วนของเรื่องที่พัก ไปคนเดียวมันก็ต้องแพงสิ ทำยังไงล่ะถึงจะ Save money ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นเว็บ https://www.couchsurfing.com จึงเป็นทางเลือกของเรา บวกกับความที่เราอยากเรียนรู้แบบเจาะลึกบุกบ้านเจ้าบ้านเลย couchsurfing  จึงเป็นคุณค่าที่คุณคู่ควร 55 (จริงๆไม่ได้งกใช่ไหม?)  


Couchsurfing คืออะไร?

ถ้าเรียกง่ายๆก็คือ “ขอพักฟรีบ้านคนแปลกหน้า” นั่นเอง แล้วมันยังไงล่ะ? มันก็คือเครื่องมือที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลได้ดี (ไหนบอกว่าจะใช้คำง่าย? 55) งั้นเราจะอธิบายเป็น 2 เวอร์ชั่นละกัน เวอร์ชั่นบ้านๆ กับเวอร์ชั่นทางการ

เวอร์ชั่นบ้านๆ: ขอพักฟรีบ้านคนแปลกหน้าเพื่อเรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและกัน

เวอร์ชั่นทางการ: ธุรกิจที่ไม่แสวงผลกำไร เพื่อแบ่งปันที่พัก เรียนรู้วิถีชีวิตท้องถิ่น วัฒนธรรม ภาษา อาหาร และอื่นๆอีกมากมาย เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีต่อกัน เรียกได้ว่าทำให้เปิดโลก เปิดประสบการณ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ แก่นักเดินทางต่างถิ่นในฐานะเจ้าบ้าน บนพื้นฐานความเคารพซึ่งกันและกัน

โอ้โหหหห เชิญใครมาเขียนเนี่ย 555 ก็นั่นแหละ couchsurfing คุณค่าที่คุณคู่ควร


ใช้อย่างไร ทำอะไรได้บ้าง

ก่อนอื่นก็ต้องสมาชิก อ่านรายละเอียดตามขั้นตอน แค่นี้ก็เสร็จแล้ว ง่ายมะ (นี่ก็ขี้เกียจอธิบายเกินไป) 55 โอเค เราจะอธิบายสั้น ง่ายๆ เหมือนจะได้ใจความให้ว่า การสมัครสมาชิกนั้น คุณควรกรอกรายละเอียดให้ครบ หรือเป็นไปได้มากที่สุดเท่าที่คุณอยากจะเปิดเผย อาทิเช่น

  • ชื่อ-นามสกุล
  • วัน เดือน ปีเกิด อายุ
  • สถานที่อยู่อาศัย
  • อาชีพการงาน
  • Life Style
  • บอกความเป็นคุณ ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
  • สมัคร Couchsurfing เพื่ออะไร ต้องการอะไรในนี้
  • คนสนใจอะไร คนจะแบ่งปันอะไรใครเพื่อนรักนักเดินทางบ้าง
  • คุณเคยไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง อะไรที่คุณประทับใจที่สุด
  • อื่นๆ อีกมากมาย

โดยทั้งนี้ทั้งนั้นข้อมูลทุกอย่างควรเป็นความจริง เพื่อประโยชน์ต่อตัวคุณและคนอื่นๆด้วย การเป็นหนึ่งใน Couchsurfing คุณควรบริสุทธิ์ใจ มีความจริงใจให้กันและกัน ไม่ใช่แค่ประโยชน์แก่ตัวคุณแต่มันเพื่อส่วนรวมด้วย ส่วนหนึ่งเล็กๆอาจนำไปสู่ความมั่นคงที่ยืนยาวได้  

(รออะไร ลุกขึ้น ยืนปรบมือสิ 555) ไหนบอกว่าจะอธิบายสั้นๆไงล่ะ? สมัครสมาชิกและอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.couchsurfing.com)

Ref. http://www.nomadicmatt.com/travel-blogs/how-to-crush-it-on-couchsurfing

เมื่อคุณเข้ามาหาประโยชน์จาก Couchsurfing อย่าลืมแบ่งปันสิ่งดีๆกับคนที่แบ่งปันสิ่งต่างๆคุณ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงิน อาจจะเป็นอาหารท้องถิ่นของคุณ สินค้าโอท็อป หรือภาษา ตลอดจนกระทั่งมาม่าก็ย่อมได้ 555 อะไรที่เราคิดว่ามันธรรมดาสำหรับ มันอาจจะวิเศษสำหรับเขาก็เป็นได้ ดังนั้นมาร่วมแบ่งปันสิ่งดีๆให้กันและกันเถอะ


บทบาทอย่างไร?

เราสามารถเป็นได้ทั้งคนที่ไปขอพักอาศัยที่บ้านเขา และเราก็ยังสามารถเปิดบ้านให้คนอื่นมาพักอาศัยได้ โดยในโปรไฟล์ คุณควรระบุในส่วนตรงนี้ให้ชัดเจนด้วยว่าคนจะเป็นคนประเภทไหนใน Couchsurfing เจ้าบ้าน หรือ ผู้ขอพักอาศัย

ยกตัวอย่าง: สมมติถ้าคุณเป็น Host อยากเปิดบ้านให้คนอื่นมาพัก

นอกเหนือกจากโปรไฟล์ที่คุณอธิบายความเป็นตัวคุณแล้ว คุณต้องลงรายละเอียดด้วยว่าบ้านคุณเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง รับผู้เข้าพักกี่คน ตลอดจนกระทั่งระบุเพศผู้ที่ขอพักได้ด้วย คุณจะใส่กฎไปด้วยก็ได้ว่าห้ามสูบบุหรี่นะ หรือสูบบุหรี่ได้นะ สมมติว่าเขามาให้วันที่คุณไม่ว่างเทคแคร์มากนักคุณแค่เปิดบ้านให้เขาพักก็พอ ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องพาเขาเที่ยวก็ได้ คุณควรจะระบุไปในนั้นทั้งหมด ทั้งนี้ทั้งนั้นข้อมูลส่วนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อตัวคุณและผู้เข้าพักได้เป็นอย่างดี ช่วยคัดกรองคนเข้ามาหาคุณได้ด้วย โดยการที่คุณจะตอบรับเขาเข้าพักคุณสามารถคุยแชทกับเขาก่อนได้ด้วยเพื่อใช้เป็นวิจารณญาณในการตัดสินใจอีกที (ซึ่งส่วนใหญ่ทำเช่นนั้นอยู่แล้ว) ถ้าคุณไม่โอเค คุณสามารถปฏิเสธได้

ยกตัวอย่าง: สมมติถ้าคุณเป็น Surf อยากขอไปนอนบ้านคนอื่น

คุณสามารถเลือก Host ได้ว่าคุณต้องการ Host แบบไหน แค่เข้าไปอ่านดูโปรไฟล์ของคนที่ยินดีเปิดบ้านให้พัก โดยการค้นหาทำได้ง่ายมาก เช่น คุณมีแพลนจะไปเที่ยวปารีส แล้วคุณอยากพักที่โซนนี้ๆนะ คุณก็กรอกการค้นหาไปเลย Couchsurfing ก็จะแสดงผลการค้นหาว่าในแถบๆนั้นมี Host หรือไม่ ใครบ้าง คุณก็เลือกดูได้เลย เห็นไหม ง่ายไหมล่ะ?


เลือก Host อย่างไร?

ในการเลือก Host คุณควรตรวจสอบดูโปรไฟล์ของเขาว่าเป็นอย่างไร มีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่น้อย สำหรับเราเลือกคนที่มีโปรไฟล์ 80% ขึ้นไป ใน Couchsurfing จะบ่งบอกคะแนนโปรไฟล์ไว้อยู่ คุณสามารถเช็คได้ที่ตรงนั้น ลำดับถัดให้ดู References ว่าโดน Comment อย่างไรบ้างเป็นไปในทางเชิงบวกไหม ใครต่อใครที่เคยมาพัก หรือมาพบเจอกับ มีความคิดเห็นว่าอย่างไร ในส่วนนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรจะไปพักกับ Host คนนี้ไหม ในกรณีที่คุณเป็น Host คุณก็สามารถเลือก Surf จากประวัติการเข้าพักของเขาก็ได้ หรือถ้าเขาไม่เคยพักที่ไหนมาก่อน คุณอ่านโปรไฟล์แล้วผ่าน ก็เซเยส รับเขามาพักได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้า Host หรือ Surf ไม่มี References ไม่เคยโดน Comment เลยคุณจะเป็นคนแรกที่ให้โอกาสเขาก็ได้ อย่างไรก็ตามคุณพิจารณาให้ดี (ทำไมต้องพิมให้เครียดด้วยเนี่ย)555 เอาน่ะมันดูเหมือนยุ่งยาก แต่ก็ความจริงแล้วก็ไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ มันยากแค่ตอนเราสมัครสมาชิกเฉยๆ เพียงแค่คุณสละเวลาเพียงไม่กี่นาที กรั่นกรองสิ่งที่คุณอยากได้รับ และสิ่งที่คุณอยากแบ่งปัน สิ่งดีๆก็จะรอคุณอยู่ในอนาคต ขอบคุณค่ะ! (เดี๋ยวไปรับช่อดอกไม้ล่างเวทีแปบ)555


Couchsurfing ดีอย่างไร?

ย้อนกลับไปอ่านข้อความข้างบน (ล้อเล่น 555) ก็ดีตรงที่ช่วยทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในเรื่องของที่พัก อีกทั้งยังได้แลกเปลี่ยนความรู้และวัฒนธรรมกับเจ้าบ้านได้เป็นอย่างดี ได้เพื่อนใหม่ที่เป็นเพื่อนของเพื่อนเจ้าบ้านด้วย ใครจะไปรู้ล่ะ ในอนาคตสายงานเราอาจจะต้องเกี่ยวดองกับเขาก็ได้ มีเพื่อนใหม่ เหมือนได้บ้านใหม่ ได้งานใหม่ อะไรก็เกิดขึ้นได้


Couchsurfing เหมาะกับใคร

ใครก็ได้ที่เปิดใจพร้อมจะเรียนรู้โลกใหม่ เปิดประสบการณ์ไปเจ้าบ้านที่เป็นคนท้องถิ่น เป็นคนที่รับปัญหาเฉพาะหน้าได้ มีวิจารณญาน  ที่สำคัญ Happy ไปกับมัน บางที Couchsurfing นี่แหละสวรรค์ของนักเดินทาง

Ref. https://welovewanderlust.wordpress.com


วกกลับมาที่ปาร์ตี้ (อ้าววววว สาระจบแล้วเหรอ?) จะว่าใช่ก็ใช่ 555 (ด้วยความที่เขาจ้างมาเล่นใหญ่ได้เท่านี้) ล้อเล่น ก็แค่อยากแนะนำไว้ เผื่อใครสนใจเปิดประสบการณ์แบบนี้ก็ลองได้ มันง่ายกว่าที่คุณคิด เราก็สังสรรค์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การกันต่อ ไม่มีที่ท่าว่าใครจะหนีไปหลับสักคน แต่เราอะอยากนอนนานแล้ว แต่ขนาดแม่ยายยังไม่นอนเลย เราจะนอนได้อย่างไร T_T โอ้วววว แล้วพรุ่งนี้ทะเลทรายของฉันต้องตื่นเช้ามืดซะด้วยสิ แต่ขณะนี้เวลาปาเข้าไปตี 2 แล้ว สุดท้ายก็จบลงที่ ตี 3 แยกย้ายกันไปนอน ก็นัดกับ Host แล้วว่าจะไป White Sand Dune นะตอนเช้า มันใช้เวลานานเท่าไหร่จากที่นี่ Host ก็บอกว่ายูต้องตื่นตี 3 ครึ่งนะ ละเดี๋ยวตี 4 เราจะออกไปแว๊นซ์กัน เฮือกกกก ครึ่งชั่วโมงที่มีค่าของฉัน ก็รีบหลับโดยไว Zzzz


ตอนที่ 5 ตกหลุมรัก กับดักทะเลทราย

เข็มนาฬิาแตะเวลา 03.30 นาฬิกา เลขสวยแต่หน้าไม่สวยเลย เพราะ Host มาปลุก ยูๆๆๆ Wake up!! ไปอาบน้ำ แต่งตัว เตรียมของเร็ววว จะไปไหม White Sand Dune โอเค ยอมแล้ว ลุกแล้วจ้าาา เราก็เลื้อยลงเตียง ไหลเข้าห้องน้ำ แล้วคลานมาเตรียมของอีกที ตี 4 ฤกษ์งามยามดีเราก็หนีออกจากบ้านกัน เอ้ยยยย ไม่ใช่ เราก็ไปเที่ยวทะเลทราย White Sand Dune กัน โดยไป 3 คน นั่นก็คือ Host และภรรยาของ Host ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเราก็มาถึง White Sand Dune ทะเลทรายสีขาว กว้างสุดลูกหูลูกตา ในเวลาเกือบๆตี 5 เอาล่ะ ไปเดินกัน!!  

ด้านหน้าก็จะมีให้เช่า ATV ในการตะลอนทะเลทราย ค่าบริการ 400 บาท ต่อ 20 นาที ส่วนใครที่เช่าทัวร์มากับรถจิ๊ป ก็เร่งเครื่อง 4 ล้อ ทรายตลบเข้าไปเลย เห็นบางกระทู้แนะนำว่าใช้เช่า ATV เถอะจะได้ไม่เหนื่อย แล้วมันกว้างมากจะได้ไม่เสียเวลา ส่วนเราน่ะเหรอ ทัวร์เหรอไม่มี เช่าไรล่ะ ไม่เช่า 555 เป็นสายเดินด้วยลำแข้ง ข้าจะสำแดงเดชให้ดู ฮ่าๆๆๆ

คนตัวน้อยๆ 3 คนก็เดินดุ่มๆเข้าไปในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ รู้ซึ้งเลยล่ะว่าแต่ละก้าวเสียพลังงานไปเท่าไหร่ กลับไปน้ำหนักลดแน่ ก็ถ่ายวิวไปเรื่อยๆเริ่มที่ภาพนี้ เทสๆ แสงสักหน่อย  

White Sand Dune คืออะไร แปลตรงตัวง่ายๆก็คือทะเลสีขาวนั่นเองอยู่ห่างจากตัวเมือง 25 กิโลเมตร เดินทางมาไม่ยาก ใครจะเช่าทัวร์มาก็ได้ (เราก็ไม่รู้ว่ากี่บาท) เรามาฟรีกับ Host 555 ระหว่างทางไปก็จะเป็นถนนโล่งๆ ไม่ค่อยมีบ้านคนมีแต่ต้นไม้ ใบหญ้า และทะเลทรายเป็นหย่อมๆ ทะเลทรายที่มุ่ยเน่จะมี 2 ที่ใหญ่ๆ ก็คือ White Sand Dune และ Red Sand Dune ก็แปลตรงตัวเช่นเคยก็ทะเลทรายสีแดงไงล่ะ ในตอนเช้าเราจึงเลือกที่จะไปทะเลทรายสีขาวเพื่อเก็บพระอาทิตย์ขึ้น แล้วค่อยไปถ่ายพระอาทิตย์ตกที่ Red Sand Dune  

ตื่นๆๆ  

เดี๋ยวโดนรถทับนะ  

ตื่นก็ได้  

ปะ ลุยกันต่อ  

ถ่ายหาไรนักหนาาาา 55  

หันไปถ่ายวิวก็ได้  

แล้วก็กลับมาขอยืมเมียแปบนึง 555

จะวิ่งหนีพี่ไปไหนแม่นาง  

วิ่งมากลายร่างเป็นแม่เสือสาวไงล่ะ เหมี้ยวววว  

ขอถ่ายมั่งดิ อยากออกไปเตะขอบฟ้า แต่เหมือนว่าทะเลทรายจะไม่เข้าใจ  

สักพักฝนก็ตก เราก็อ้าวววว จะหนีไปทางไหนล่ะ ขุดหลุมมุดตัวอยู่ในทรายดีไหม (แต่ทรายก็ไม่อุ้มน้ำนะ) 55 ก็นั่นแหละเดินต่อไปตามยถากรรม หลายๆคนก็ล่าถอยกลับ แต่เขาไม่ได้เดินมาไง นั่ง ATV กลับ งุ้ยยยย ส่วนเราได้แต่ภาวนาหยุดตกเถอะๆๆ สักพักฝนก็หยุดตก ยิ้มแปล้เลยทีเดียว แต่ก็นะวันที่เรามาอากาศไม่ดีมั้ง ฟ้าฝนไม่เป็นใจ และพายุกำลังจะมา ส่วนแดดน่ะเหรอ ไม่ปรากฏมาแม้แต่เสี้ยงแสงส่องกระทบทรายเลย

ช่วยข้อยแหน้      

ได้เลยน้องสาว ขอพี่เบิร์นเครื่องแปบ  

ง่วง คนกำลังจะนอนของีบก่อนได้ไหม  

เผ่นก่อนแล้ว  

เผ่นด้วยยยยยย  

วิ่งดิเอ๋ วิ่งงงงงงงง  

เกาะแน่นๆนะที่รัก  

อ้าวคนขับหาย ไอจะกลับยังไง  

ลากเองก็ได้  

อ้าวเฮ่ยยยย!!.. หายหมดเลย วิ่งเลยดีไหมเนี่ย  

ก่อนจะหลบฝน ขอถ่ายอีกสักแปบ  

พี่คะ ไปส่งหนูหน่อยค่าาาา  

เหลือเรา 2 คันเอาไงดีว้า  

เสมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวณทันใด... ทะเลทราย!! 555 เราก็ไม่หวั่นแม้วันเมฆมาก ยังถ่ายต่อไปเลยมุมเสยซะบ้าง  

ถ่ายรูปจนพอหอมปากหอมคอ เราก็ออกจาก White Sand Dune กันตอน 9 โมงนิดๆ Host จะพาไป Palace ต่อใกล้ๆกันเอง 5 นาทีก็ถึง โอเค ไปปปป ล้อหมุนเลยลูกพี่ แต่ดันไปเจอสระบัวซะก่อน ขอแวะหน่อยแปบนึง

นางแบบเรามีพร้อม  

งานคู่ก็มา...  

ฮือออ ขอกอดหน่อย ไม่มีใครเลย TT

ไปๆ ไปกันได้แล้ว  

ขอกระโดดลงจากรถ ถ่ายวิวด้านหน้าอีกนิดนึง เยส!! เสร็จสิ้นภารกิจ เปิดการ์ดไปต่อได้  

และแล้วเราก็มาถึง Palace ซึ่งเป็นสถานที่เหมือนยังก่อสร้างไม่เสร็จหรือไม่ก็กำลังบูรณะอยู่ แล้วคิดว่าคงถูกปล่อยร้างไว้อีกนาน ก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก มีรูปปั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เรียงกันเป็นตับ เราก็ถ่ายรูปแชะๆสักแปบนึง แล้วก็ออกไป  

ทีนี้ Host ก็พาไปยังหมู่บ้านแถวนั้น เพื่อดูชุมชนและหาอะไรกินนิดหน่อย (ซึ่งเราหิวมากกกก กินช้างได้ทั้งโขลง) ร้านที่ Host พาไปก็เป็นร้านกาแฟชาวบ้าน ที่นี้เขาจะนิยมกินกาแฟกัน (ลืมบอกตอนตื่นขึ้นมา Host ก็ชงกาแฟให้เรากินไปอีกแก้วนึง) นี่ต้องกินกาแฟต่ออีกเหรอเนี่ย T_T แม้จะอร่อยก็เถอะ ทำไมต้องกินกาแฟ? ด้วยวัฒนธรรมของเขาคือเขาจะไม่ทานอาหารเช้ากัน จะดื่มกาแฟแทนน โอ้พระพุทธเจ้า ลูกเข้าใจแล้ว เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม นั่นแหละ ไม่นานกาแฟดั้งเดิม หอมกรุ่น สไตล์เวียดนามแท้ก็มาเสิร์ฟ แน่นอน รสชาติอร่อย ละมุนลิ้นเช่นเคย  

พอดื่มกาแฟเสร็จ Host ก็พาไป Fairy Stream ต่อ แต่ก่อนจะถึง Fairy Stream ก็จะผ่าน Red Canyon ก่อน ส่วนมากนักท่องเที่ยวมากจะผ่านเลยไปเลยไม่ได้แวะ ที่นี่ข้างล่างจะเดินได้ เป็นทรายแดงๆถูกน้ำฝนกัดซ่อน เนียนละเอียดเชียวแหละ แต่ด้วยความขี้เกียจของเราก็ขี้เกียจเดินอะ 555 ก็ขอถ่ายรูปจากจุดข้างบนไว้แทนละกัน   

เสร็จแล้วเราก็จะไป Fairy Stream ต่อ ปะไปกันต่อเลยพี่ Host ก็บอกว่าเนี่ย Red Canyon ก็อยู่ใกล้ Fairy Stream เอง ยูเดินทะลุนาทะลุป่าลำธารเข้าไปได้เลย เราก็ถามกลับแล้วปกติคนอื่นไปยังไง Host ก็บอกว่าต้องขับไปอีก แล้วไปเริ่มเดินตรงกลางลำธาร เดี๋ยวยูเดินจากตรงนี้ไปเลย เดินคนเดียวไปนะ เดี๋ยวไอกับภรรยาจะไปเจอยูอีกทีที่ปลายทาง พี่ชายเรียกหาเดี๋ยวต้องกลับไปขับรถให้พี่ชายก่อน เราก็อ้าว เคว้งงงง เลยดิ ถูกปล่อยไว้กลางป่า 555 ด้วยคำว่าที่ว่าเดี๋ยวเราจะกลับมาพบกันใหม่

ก่อนไป Host ก็ไปสำรวจทางให้ว่าป่าหนามลำธารนั้นเดินได้ไหม ในที่สุดก็หารูออกไปลำธารจนเจอ เราก็เดินดุ่มๆตามหลังเข้าไป สรุปแล้วเราต้องไต่ลงมาขนาบข้างน้ำตกที่ Red Canyon ก็สูงไม่มาก  

แต่ก็ถือว่าสูงละกัน นี่ได้รับประสบการณ์โปรโมชั่นพิเศษใช่ไหม น้ำตกก็ไม่มีไรมากน้ำตกธรรมดา Host ก็บอกว่า แชะๆ ถ่ายรูปสักหน่อยไหมยู เก็บเป็นที่ระลึก เดี๋ยวไอจะไปแล้ว (นี่จะเป็นรูปสุดท้ายก่อน... ปะเนี่ย)

เรียบร้อยเสร็จแล้ว Host ก็โบกมือบ๊ายบายเราไป Host ก็บอกว่าเที่ยวเสร็จแล้วตอนใกล้จะถึงทางออก บอกไอนะ เดี๋ยวไอจะมารับ ตอนยูเดินยูก็เดินตามลำธารไปเรื่อยๆเลยนะเดี๋ยวก็จะเจอ Fairy Stream เอง เราก็โอเค รับทราบ กรุณากลับมาพบกันใหม่ 555

เราก็เดินลัดเลาะลำธารเรื่อยๆมีแต่ต้นไม้ โขดหิน ในใจก็เอามาปล่อยปะเนี่ย แต่เดินไปสักพัก ก็จะร้านอาหาร อะไรนะ ร้านอาหาร? ใช่มันคือร้านอาหารกลางลำธาร!! ก็เป็นของชาวบ้านแถวนั้นนั่นเอง ก็เจ๋งดี กินไปแช่น้ำไป ข้างบนก็มีคนนั่งบนตั่งอยู่เพียบ เขาก็ตะโกนถามเลย ทำไมยูมาคนเดียว มาจากไหน ก็บอกว่ามาน้ำตกตรงนุ้นนนน เป็นคนไทย มาคนเดียว กำลังเดินไป Fairy Steam ไปทางนี้ใข่ไหม เขาก็บอกใช่ๆแล้วๆ แล้วก็คุยสัพเพเหระไม่ได้ไปสักที เราก็เป็นคนชนชั้นล่าง (ยืนอยู่ในลำธาร)   

ส่วนคนอื่นๆก็เป็นคนชนชั้นสูง ตะโกนลงมาจากบนบก 555 ก็ตลกดี ไปไงมาไง ก็แลก Contact กันไว้สักหน่อยละกัน เห็นว่าเขาจะมาไทยด้วย See you ละกันนะ ไอจะไปต่อแล้ว ก็โบกมือบ๊ายบายกันไป ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้เราก็ยังคงติดต่อกันเรื่อยมา  และเขาบอกว่าเนี่ยรีสอร์ทและร้านอาหารที่ยูเห็นวันนั้นอะเป็นของแม่เขาเองนะ ถ้ามาเวียดนามอีก ก็มาพักได้ให้พักฟรี เพื่อนกันๆ เราก็โอเคๆ ได้เลย จัดไปปปปป  


ตอนที่ 5 ตกหลุมรัก กับดักทะเลทราย(ต่อ)

จากนั้นเราก็เดินไปต่อ ก็ยังไม่เจอใครสักคนอยู่ดี 555 ดินแดนนี้เป็นของเราสินะ ก็ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย จนในที่สุดก็มาเจอสิ่งที่เรียกว่า Fairy Stream และแล้วก็ขอต้อนรับเข้าสู่ช่วงสาระมีอยู่จริง.. ขอนำเสนอเนื้อหา 555 Fairy Stream เป็นลำธารเล็กๆ รายล้อมไปด้วยภูเขาหินทรายขนาดใหญ่ที่ถูกกัดเซาะกัดเซาะเป็นเวลานาน ระหว่างทางจะมีร้านอาหารและสวนสัตว์ให้เยี่ยมชม (จบละ) ระยะจากต้นลำธาร-ทางออกถ้าเดินดุ่มๆ ไม่ถ่ายรูปอะไรมากนัก 30 นาทีก็เสร็จ แต่เราเป็นพวกถ่ายทุกอย่างที่ขวางหน้า ก็ชมนกชมไม้ เดินถ่ายไปเรื่อยๆ จนเจอผู้คนแล้ว (ดีใจจัง) แต่ก็ไม่มากนัก  

เฮ่ยยยยย!!... เจอมนุษย์เพิ่มมาอีกคนแล้ว หลังจากเดินเพียงลำพังมานาน 555

ลักษณะหินทรายที่ถูกกัดกร่อนจะมีรูปทรงคล้ายจอมปลวกเลย 

เดินไปเรื่อยๆก็จะวิวแบบนี้ตลอดทาง เปลี่ยนไปตามการกัดเซาะเรื่อยๆ  

เดินไปอีกนิดก็เจอตัวประกอบ เอ้ยย ผู้คนผ่านไปผ่านมา 55

บ้างก็มาเป็นแพ็คคู่ T_T

แล้วก็คู่....  

คุณยายบอกมานั่งกับยายมานี่มา  เดี๋ยวยายปลอบใจ

สักพัก Host ก็แชทมาถามยูอยู่ไหนเลย เดินเลยสวนสัตว์ยัง ถ้าถึงสวนสัตว์แล้วแปลว่าใกล้จะถึงทางออกละ ให้แชทมาบอก ไอจะมารับ เราก็บอกว่า ยังๆ เดี๋ยวถ้าถึงละบอกน้า ก็เดินไปเรื่อยๆ กว่าจะถึงสวนสัตว์ก็นานเหมือนกัน จะอยู่ตามแนวลำธารเลย ไม่ใหญ่มากนัก ไม่เห็นจะมีสัตว์แปลกอะไรเลยไม่ได้สนใจก็เดินผ่านไปเลย สำหรับการเดินที่ Fairy Stream ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆนะ   

สักพักเราก็เดินมาถึงทางออกที่เป็นทางขึ้นโผล่พ้นน้ำมาสู่บนบก (เหมือนตัวอะไรน่ะ?) ด้วยความที่ตลอดเช้ายันเที่ยงมีกาแฟตกถึงท้องเพียง 2 แก้วเราจะมุ่งตรงไปยังร้านอาหารเพื่อสั่งข้าวทานระหว่างรอ Host คิดไรไม่ออก ง่ายๆสั่งข้าวผัดเลยละกัน รอสักพักก็จะข้าวผัดรูปร่างหน้าตาแบบนี้มา เป็นข้าวผัดหมู แปลกดีข้าวผัดที่นี่จะคลุกเนยด้วย แต่ข้าวโพดเอย ถั่วเอย แครอทเอย อะไรเนี่ยเต็มไปหมด (ปกติเราไม่กินอยู่แล้วจะเขี่ยออกหมด) แต่นี่โอ้ววว มันเยอะเกินไปอะ เขี่ยยังไงก็คงไม่หมด สรุปก็ยัดๆเข้าปากกินๆไปเถอะ หิวละไม่ใช่เวลามาเรื่องมาก 555 (บอกแล้วว่ากินง่าย อยู่ง่าย) แต่ขอกระพริบตาบ่นนิดนึงกินไป เลี่ยนไป อร่อยไป งงเลย รสชาติอร่อยกลมกล่อมแบบงงๆ (หรือคนมึน อันนี้ก็ไม่แน่ใจ)  

กินรอ Host สักพักไม่นานนัก Host ก็ขับรถมาถึง เขาก็ถามว่ายูมีแพลนจะไปไหนต่อวันนี้ แต่ไอขอบายนะ บายง่วงนอน ยูดูแลตัวเองได้ใช่ไหม เราก็บอกว่าสบายมาก!! แต่ขอให้พาไปเช่ามอเตอร์ไซค์หน่อยเราจะแว๊นซ์เที่ยว Host ก็บอกได้เลยเดี๋ยวจะพาไปร้านเช่ารถ ไอรู้จักๆ เขาก็พาไปเช่ารถ ระหว่างทางกลับก็จะต้องผ่าน Red Sand Dune ซึ่งเราเห็นแล้วไม่น่าถ่ายเลยอะ ขยะเต็มไปหมด แล้วทรายก็ไม่ได้ผิวเนียนเรียบสักเท่าไหร่ รอยเท้าคนเต็มไปหมด เลยขอผ่านดีกว่า ระหว่างก็จะเป็นแบบนี้  

ขยะเต็มไปหมดเลย  

ด้วยความทนไม่ไหวจึงเก็บมาให้หมด (ล้อเล่นนน) 55 ขับมาเรื่อยๆก็จะได้วิวธรรมชาติแบบนี้ รถผ่านมาบ้างประปราย

เพียงไม่ถึงชั่วโมงเราก็มาถึงร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ที่รู้จักกับ Host คุยยังไงก็ไม่รู้ ก็ได้มาในราคาคนกันเอง 100 บาท ต่อ 1 วัน 555 รถที่เราได้มาเป็นเป็น Honda Click พร้อมหมวกกันน็อก 1 ใบ Host ก็สอนวิธีการขับ ว่าต้องขับแบบนี้นะ เปิดไฟทางนี้นะ ถ้าออกจากซอยต้องมองทางนี้ เลี้ยวตัดแบบไหนได้บ้างหรือไม่ได้บ้างตามวงเวียน ใจดีมากขับรถตีคู่กันเพื่อไปสาธิตว่าต้องขับยังไง พอเราชินละ Host ก็ปล่อยเราเป็นอิสระ เอาล่ะมาเวียดนามถิ่นมอเตอร์ไซค์ทั้งนี้ ต้องแว๊นขี่บีบแตรแข่งกับเขาบ้างสิ ถึงจะครบรถ ว่าแล้วก็ไปกันเลย!!! มีเสียง Host ไล่ตามหลังมา อย่าขับเร็ววววววววว ดูแลตัวเองด้วยโว๊ยยยยย...  

หลังจากที่ได้มอเตอร์ไซค์คู่ใจมาแล้ว ก็แว๊นซ์สิครับพี่น้อง 555 เราก็ขับไป Map ที่เราปักไว้ โดยสถานที่แนะนำก็ได้มาจาก Host อีกคนหนึ่ง อ้าว งงล่ะสิ ลืมบอกไปว่าเราบุค Host ไป 2 คน วันแรกก็จะอยู่กับ Host ชาวรัสเซีย แล้ววันที่ 2 ก็จะอยู่กับ Host ชาวเวียดนาม ทำไมถึงไม่บุค Host เดียวทั้ง 2 วันไปเลยล่ะ? พอดีว่าเราอยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนต่างชาติที่ย้ายมาอยู่ต่างแดน กับคนที่เป็นสัญชาติเวียดนามจริงๆ จะได้ครบรสเลย (แต่ของยังฝากไว้อยู่ที่ Host ชาวรัสเซียอยู่นะ)

เขาไม่อยากให้เราลำบากพกกระเป๋าไปเที่ยวให้เอาไว้บ้านเขาก่อนก็ได้ คืนมอเตอร์ไซค์เสร็จค่อยไปบ้าน Host เวียดนาม เดี๋ยวเขาไปส่ง (ใจดีจริงๆ น้ำตาจะไหล) ซึ่ง Host เวียดนามเนี่ยบ้านเขาอยู่ตรงกลางใจเมือง สะดวกแก่การขึ้นรถกลับโฮจิมินห์ ดังนั้นจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เราเลือก 2 Host ด้วยแหละ (สาระมีอยู่จริง) 555

โดยการอื่นต้องขอบอกก่อนว่าการขับรถในเวียดนามค่อนข้างต้องใช้สมาธิพอสมควร เพราะรถเยอะ บางแยกไม่มีสัญญานจราจรเลย แต่น่าแปลกใจที่ไม่ค่อยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น อาจจะเป็นเพราะว่าเขาบีบแตรเตือนกันมั้ง


ขับมอเตอร์ไซค์ในเวียดนาม จำเป็นต้องมีใบขับขี่ไหม?

คำตอบก็คือจำเป็น เพราะตำรวจเขาจะตั้งด่านตรวจจับ แหละเหยื่อก็คือนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ เนื่องด้วยไม่มีใบขับขี่สากล ก็นั่นแหละแค่มีหมวกกันน็อกใบเดียวมันไม่พอนะจ้ะ ส่วนตัวเราน่ะเหรอมีไหม คำตอบก็คือไม่มีจ้า 555 Host ก็บอกว่า ไม่เป็นไรๆ ไอมีวิธี ไอจะสอนยูหลบตำรวจ เยส!! แจ่มแมวไปเลยลูกพี่ มี Host ดี ไปกับคนในพื้นที่ก็งี้แหละ  Host ก็เปิด Map ให้ดูเลยว่าเนี่ยยูจะไปเที่ยวเส้นนี้ๆใช่ไหม ตำรวจจะตั้งด่านตรงนี้นะ แยกนี้นะ แล้วขับไปอีกตรงแยกนี้ก็จะมีตำรวจอีกนะ   

สรุปก็คือจะต้องหลบตำรวจ 4 จุด Host ก็บอกยูสามารถหลบเข้ามาซอยเส้นนี้ๆได้นะ แล้วไปโผล่ตรงจุดนี้นะ ด่านจะตรวจจับตั้งแต่เวลานี้นะ จนถึงเวลานี้นะ โอเค รับทราบ งานนี้งานถนัด เย้ยยยย 55 อย่างไรก็แล้วแต่สำหรับคนที่จะไปเที่ยวต่างประเทศแล้วมีความต้องการที่จะขับขี่ยานพาหนะ ก็ทำใบขับขี่สากลไว้แต่เนิ่นๆละกันจะได้ไม่มีปัญหามาก (ส่วนเรา กรณีฉุกเฉินเฉยๆ 55)


Ta Cu Mountain

สถานที่ท่องเที่ยวที่เราจะไปนั่นก็คือ Ta Cu Mountain ห่างจากมุ่ยเน่ประมาณ 80 กิโลเมตร เมื่อได้เส้นทางแล้วก็ขับรถไปเลย ถนนเวียดนามฝุ่นเยอะมาก แดดก็จัด ซื้อบัฟปิดปากปิดหน้าไว้ก็ดี แว่นตาด้วย เพื่อความสะดวกในการขับขี่ แต่ไอเรามันไม่มีทั้ง 2 อย่างเนี่ยสิ ก็ต้องต่อสู้กันต่อไป 555 โดยระหว่างการเดินทางต้องเจอทางด่วนประมาณ 3 ครั้ง แต่จะมีเลนให้มอเตอร์ไซค์ให้ขับอยู่ และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เลนมอเตอร์ไซค์จะอยู่ขวาสุด ขับเข้าไปได้เลย ตลอดระยะเวลาการเดินทางรถเยอะมากโดยเฉพาะรถทัวร์ รถสิบล้อ มอเตอร์ไซค์ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ก็นั่นแหละขับกันมันส์เลยทีเดียว บีบแตรรัวๆ

 ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเราก็ขับรถมาถึง Ta Cu Mountain สักที แต่หน้านี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ยับเยิน!! 555 คือฝุ่นมันเยอะมาก แล้วแดดก็เผามาก เรียกว่าหน้ามันแผล็บกันเลยทีเดียว  

(GPS: 10.828383, 107.882746)  ค่าจอดรถ 4.000 dong ประมาณ 285 บาท

หลังจากจอดรถเสร็จเราก็มาซื้อตั๋วเข้า Ta Cu Mountain โดยมีให้เลือกหลายแบบว่าเราจะเข้าไปแค่ชมสวน ชมเส้นทาง Trekking หรือซื้อกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปชมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ข้างบน ส่วนเราซื้อแบบตั๋วเข้าเข้าได้ทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่าง โลภว่างั้น 555 ตั๋วจะเป็นแบบนี้  

ตั๋วราคาเหมา 180.000 dong ประมาณ 282 บาท


Welcome to Ta Cu Mountain

 มีรถกอล์ฟบริการฟรีด้วย เนื่องจากพื้นที่กว้างขวางจริงๆ ก็บอกเขาว่าเราจะไปจุดไหนของ Ta Cu Mountain เขาก็จะไปส่งให้ ส่งเราเลือกที่จะไปจุดขึ้นกระเช้าไปยังศาสนาสถานข้างบนเลย เนื่องจากมีเวลาไม่มากนัก เพราะตอนนี้เวลา บ่าย 3 โมงกว่าแล้ว เอาล่ะเตรียมตัวลอยฟ้ากัน!!  

ใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาทีเราก็มายังถึงจุดหมายซึ่งอยู่บนสุดของภูเขา สถานที่ตรงนี้จะมีรูปปั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย และยังมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่อยู่ที่นี่ด้วย รวมทั้งสถาปัตยกรรมแบบจีน

ตือ ดือ ดืด ดื่อ ดือออออ วิ้งงงงงงงงๆๆๆ เงียบเชียบมากกกกกกกกกก...  

ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย หรือว่าไม่มีใครรู้จัก? หรือเป็นสถานที่ลับ? แล้วทำไมคนเวียดนามถึงแนะนำให้เรามาที่นี่ ก่อนมาถึงก็เสริท Google ดูแล้วว่าเป็นอย่างไร ก็เห็นมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยียนเยอะแยะออก แล้วทำไมเรามาแล้วไม่เจอกันใครสัก หรือว่าที่แห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป เขาเลยไปอยู่จุดๆอื่นกัน (คิดในแง่ดี) โอเค ก้าวเดินสำรวจไปรอบๆดีกว่า ให้กำลังใจตัวเองแล้วโบกมือลาเจ้าหน้าที่ก่อน บ๊ายบายยย แล้วเราจะกลับมาพบกันใหม่

ไม่มีใครเลยอะ วังเวงมาก  

เงียบเชียบ แทบจะได้ยินลมหายใจตัวเอง

ข้างบนภูเขานี้เย็นมากกกก มีละอองหมอกปกคลุมไปทั่ว เรียกได้ทั้วภูเขาลูกนี้สูงเสมอหมอกกันเลยทีเดียว ทันใดนั้นเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น!! เสียงฟ้าร้องพร้อมละอองเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว สายฝนกระหน่ำเทลงมา ปรากฏว่าพายุเข้า!! และฉันจะทำอย่างไรต่อจากนี้ วันเวลาดีดี ที่มีหมดความหมาย และฉันจะทนได้นานสักแค่ไหน กับช่วงเวลาที่มันเดียวดายไม่มีเธอ.. (ปิดเพลง!!)

หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง สติก็กลับมา ฝนตก ก็ต้องเปียกสิ! พึ่งรู้ตัวว่าต้องวิ่ง 555 ก็วิ่งขึ้นบันไดหาที่หลบฝน ปรากฏว่าไปเจอรูปปั้นหลวงปู่อะไรสักอย่าง(อ่านไม่ออก) องค์ใหญ่มาก แต่เนื่องด้วยบรรยากาศวังเวงมาก ฟ้าก็ร้องเสียงดัง ละอองหมอกที่เคลื่อนผ่านไปมาอย่างรวดเร็วก็ยิ่งเสริมความขลังของสถานที่นี้เพิ่มขึ้นไปอีก กลัวก็กลัว ฝนก็ต้องหลบ พอดีมีที่ให้หลบฝนข้างๆหลวงปูก็เลยรีบเข้าไป  

โปรดใช้วิจารณญานในการอยู่กับหลวงปู่เพียงลำพัง  

ทีนี้ปัญหาก็เกิดละ Ta Cu Mountain ปิด 5 โมงเย็น!! แต่ตอนนี้ 4 โมงนิดๆแล้ว พายุก็เข้าอีก แล้วจะลงจากภูเขานี้อย่างไร เดินมาจากจุดจอดกระเช้าก็ไกลมากแล้ว แล้วดูจากพายุตอนนี้ก็ไม่มีทีท่าสงบลงง่ายๆ คิดว่าเจ้าหน้าที่คงไม่ปล่อยให้กลับลงไปแน่ๆ เพราะคงมีความเสี่ยงที่กระเช้าจะตก แต่ถ้าจะให้นอนบนนี้ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ อากาศเย็นมาก แตกต่างจากข้างล่างภูเขาลิบลับที่แดดแรงเปรี้ยงๆ จริงๆแล้วไม่ได้กลัวผีเลยนะ แค่บนภูเขานี้ไม่มีใครนอกจากเราเฉยๆ 555 ก็แชทบอก Host เวียดนามก่อนว่าเราอาจจะไปพบตามนัดสายหน่อยนะ พายุเข้า เราลงจากภูเขาไม่ได้ เขาก็ตกใจ เป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีไหม เราก็บอกว่ายังสบายดีอยู่ (น้ำตาตกใน)

แต่ไม่แน่ใจว่าเราจะได้ลงจากภูเขาได้ไหม ถ้าลงไม่ได้คงไม่ได้เจอกันนะวันนี้ เขาก็บอกว่าขอให้ลงมาให้ได้นะ อยากเจอ ถ้ายังไงแชทมาบอกอีกทีนะ จัดการเสร็จไปเรื่องหนึ่งละเราก็นั่งเล่นโทรศัพท์รอเวลาไป เพื่อให้พายุสงบลง ปรากฏว่านอกจากฟ้าฝนจะเป็นใจแล้ว สัญญานโทรศัพท์ก็รักเรามาก อยู่ๆสัญญาณโทรศัพท์ก็หายไป สัญญาณหายไป สัญญานหายไปปปปป สัญญานหายยยยยยยยยยยไปปปปปปปปป (แอคโค่วววววดังๆ) แล้วฉันจะทำอย่างไรต่อจากนี้... สายฝนที่มีก็สายเข้ามาไม่มีวันจางหาย  

ตัดภาพกลับมาที่หลวงปู่

ไม่เอานะ หลวงปู่คงไม่อยากคุยกับเราใช่ไหม เราอยู่คนเดียวเงียบๆได้ ไม่เป็นไร อย่าเคลื่อนไหวนะ แต่หลวงปู่จะให้พรหนูหน่อยได้ไหม ให้ฝนหยุดตก พายุหยุดกระหน่ำเถิด (กระพริบตาปริบๆ) เหมือนคำขอเป็นผล พอสักพักพายุก็สงบ ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ แต่หมอกหนามาก โหหหหห!! ศักดิ์สิทธิ์มากๆ หรืออาจจะบังเอิญรึปล่าว อย่างไรก็แล้วแต่มันส่งผลดีต่อเรา (กราบบบบบ)

ขอบคุณค่ะ T_T  

เรามองทะลุหมอกขึ้นไปข้างบน เห็นว่ายังมีทางเดินขึ้นไปอีก ไหนๆก็มาแล้ว ต้องเดินสำรวจสักหน่อยละล่ะ ลาแล้วนะหลวงปู่ เดินขึ้นมาสักพักก็เจอสถาปัตยกรรมแบบจีนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คล้ายเจ้าแม่กวนอิม อ้าว พอเดินเข้าไปใกล้ๆแล้ว ปรากฏว่าเป็นเจ้าแม่กวนอิมจริงๆด้วย

บรรยากาศวังเวงมาก ลมก็พัดมาเบาๆ ไหนขอรูปแบบสะบัดผ้าคลุมหน่อยเพคะ ปรากฏว่าได้จริงๆด้วย -0-

ยอมแล้ว ลูกจะไปถ่ายตรงอื่นแล้ว บรรยากาศแถวนี้แลดูขลังเกินกว่าจะเก็บภาพต่อ ขอบคุณค่ะ


ตอนที่ 6 (ต่อ)

ทีนี้เราก็ดินลัดเลาะตามบันไดขึ้นไปอีกก็ไปพบกับ.... ไม่รู้เรียกว่าอะไรอะ แต่เหมือนอิคคิวซัง เหมือนเณร แต่ก็น่าจะเรียกว่าอย่างอื่น งั้นเรียกว่าผู้ปฏิบัติธรรมบนยอดเขาละกัน เดินตัดผ่านสายหมอกผ่านหน้าเราไป ในที่สุดก็เจอคนสักที แต่เอ้ะใช่คนจริงๆใช่ไหม? ก็เดินต่อไปเรื่อยๆไปจนเจอสถาปัตยากรรมที่กำลังก่อสร้าง คนงานเต็มไปหมดเลย (คนมาอยู่ตรงนี้นี่เอง) คนงานทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว หันมามองเราเป็นตาเดียว เหมือนเอ็งขึ้นมาได้ไงห้ะ? 555 เราก็ใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว ถ่ายภาพรอบๆต่อ แต่ก็ถ่ายไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เพราะกำลังอยู่ในช่วงบูรณะ และเขาใช้เส้นแดงเหลืองกั้นพื้นที่ไว้  

ใครว่าฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ คำๆนี้คงใช้บนที่แห่งนี้ไม่ได้ เพราะฟ้าหลังฝนถูกบดบังด้วยหมอกเสมอ มันก็สวยดีนะ เหมือนสวรรค์เลย แต่เป็นสวรรค์ร้างอะ T_T หลังจากที่ถ่ายรูปสักพัก ทนแรงกดดันทางสายตาไม่ไหวจึงเดินไปจุดอื่นต่อ เพราะเคยเสริทใน Internet จะมีวิวอีกหลายจุดเลยที่เรายังไม่เจอ อีกทั้งเราอยากไปถ่าย Big Buddha ด้วย จึงเดินลงไปมาข้างล่าง เพื่อที่จะเดินไปยังประตูศาสนสถานอีกฟากหนึ่ง (ไม่ได้เชื่อมต่อกัน)

วังเวงมาก แต่ก็สวยดี  

เดินวนไปเวียนมาตั้งนานก็หาจุดชมวิว และรูปปั้นอื่นๆไม่เจอสักที ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของภูเขา ทำไมที่แต่ละที่ที่เราเดินไม่ค่อยมีตาม Internetเลย ด้วยความยากลำบากในการเดินหา เพราะสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย สามารถมองเห็นได้แค่ในระยะ 10 เมตร และอีก 15 นาทีจะหมดเวลาแล้ว เราจะต้องรีบลงจากภูเขาเพื่อไปยังจุดขึ้นกระเช้า เรียกได้ว่าแทบจะวิ่งลงเลยล่ะ เพราะไกลพอสมควร  

ในที่สุดเราก็เดินมาจุดขึ้นกระเช้า หมอกเต็มไปหมดเลย

อ้าว เจอพี่จีน 2 คนด้วย พี่ไปอยู่ไหนมา ทำไมไม่โผล่มาให้เห็นเลย ปล่อยให้เด็กน้อยตาดำๆเดินอยู่คนเดียว สงสัยจะจิบกาแฟอยู่ที่ร้านข้างล่างใช่ไหม? เราก็เดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ว่าขึ้นกระเช้าลงจากภูเขาได้หรือยังคะ เขาก็บอกว่ายัง รออีก 15 นาทีนะ เพราะว่าเหมือนพายุจะมาอีกรอบ เขากำลังเช็คว่ากระเช้าสามารถต้านแรงลมได้แค่ไหน เราก็โอเคๆ เดี๋ยวนั่งรอด้วยความสงบเสงี่ยม

ผ่านไปสักพักเจ้าหน้าที่ก็เรียกเราไปขึ้นกระเช้า ให้นั่งไปกับพี่จีน 2 คนเลยละกัน นั่งมาด้วยกันสักพัก พี่จีนก็ช่างสงสัยรอบด้านเหลือเกิน เคาะกระจกนั่นนุ่นนี่ เห็นวิวสวยๆแล้วลุงยืนบ้างล่ะ แล้วในกระเช้ามี 3 คน เรานั่งคนเดียวฟากหนึ่ง พี่อีก 2 คนนั่งอีกฟากหนึ่ง เมื่อความซนบังเกิดกระเช้าก็เอียงสิคะ T_T สภาพยิ่งแข็งแรงๆอยู่ด้วย แต่ทันใดนั้นพี่จีนก็คึกอะไรไม่รู้ เปิดประตูเพื่อดูวิวข้างล่างจ้า เราก็เลยได้รับประสบการณ์ อึ้ง ทึ่ง เสียว (เปิดทำไมมมมมมมมมม) ขอส่งสายตาพิฆาตไปให้หน่อยเถอะ ดีนะที่เพื่อนพี่เขาที่นั่งข้างๆปรามไว้ให้ปิดๆ เดี๋ยวตกลงไปนะ (น่าจะแปลว่างี้) 555 สักพักทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ พุทโธ ธัมโม สังโฆ  

ในที่สุดเรากลับมาสู่ภาคพื้นราบโดยสวัดิภาพ แม้จะผ่านเหตุการณ์ใจหายใจคว่ำ ความหวั่นวิตกจากพายุฝน อย่างไรก็ตามสัญญาว่าจะกลับมาเก็บภาพอีกครั้ง เพราะยังเดินไม่ทั่วเลย แล้วเราจะกลับมาพบกันใหม่ ลาก่อน Ta Cu Mountain


ตอนที่ 7 ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวณทันใด อังกอร์

หลังจากที่เดินลงมาจาก Ta Cu Mountain สำเร็จเราก็มุ่งหน้าไปยัง Hải Đăng Mũi Kê Gà หรือ Ke Ga Lightouse นั่นเอง (Host แนะนำมา) ถ้ายูไป Ta Cu Mountain เสร็จแล้วนะ ให้กลับเส้นทางนี้ได้เลยแวะถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ แล้วก็กลับเส้นไฮเวย์นี้นะๆ ถนนข้างทางจะเลียบทะเลไปหลายกิโลเมตร มีต้นสนเรียงราย เป็นถนนที่สวยมาก อย่าลืมถ่ายรูปล่ะ เราก็โอเคๆ แหล่มเลย เมื่อ Search Map เสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ออกรถแว๊นซ์ไปเลย กะว่าจะไปให้ถึงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เพราะว่า Ke Ga Lighthouse ห่างจาก Ta Cu Mountain แค่ 29 กิโลเมตรเอง  

ระหว่างทางไป Ke Ga Lightouse จะเห็นวิวแบบนี้ มองจากข้างล่างจะเห็น Ta Cu Mountain โดนหมอกปกคลุมไปเกือบครึ่งภูเขาแหนะ ไม่รู้ว่าเราอยู่บนนั้นท่ามกลางหมอกหนาได้อย่างไร  

นาทีแล้วนาทีเล่าที่ผ่านไป Map จาก Google ก็พาเราออกนอกโลกไปสู่ดวงจันทร์อันเวิ้งว้าง คือถนนเป็นหลุมเป็นบ่อมาก บ้านคนก็ไม่ค่อยจะมี เรียกได้ว่าชนบทเลยล่ะ ขับไปสักพักก็เจอป่าหนาม บ้านร้าง เสริมสร้างบรรยากาศให้ชื่นมื่นไปอีกแหนะ ขอบคุณมาก! และแล้วเสมือนท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใด อังกอร์ เปรี้ยงปร้างสว่างไสวอันตรายไปทุกที่!!   

เพลงที่ไม่มีวันตายดังเข้ามาในโสตประสาทเมื่อฟ้าฝนเทกระหน่ำลงมา โอยยยย พระเจ้าจะทดสอบความแข็งแกร่งลูกไปถึงไหน และน้ำมันก็จะหมดอีก ไม่มีวี่แววว่าจะเจอบ้านเมืองที่ศิวิไลซ์เลย ก็ต้องพยายามประคับประคองสมศรีลูกรักต่อไป (พึ่งตั้งชื่อมอเตอร์ไซค์เมื่อกี้) 555 น้องสมศรีก็รักเจ้านายมาก ที่ไม่ยอมน้ำมันหมดง่ายๆจนกว่าจะเจออัศวินม้าขาวมาช่วยชีวิต ไม่ยอมแม้แต่ยางบี้ยางแบนให้เราขวัญเสียจากสภาพถนนอันเลวร้าย

และแล้วเราก็เจอแสงสว่างที่ปลายถนน... เมื่อเห็นบ้านคนอยู่ร่ำไรไม่กี่เมตร ก็รีบเร่งเครื่องเข้าไปหา เพื่อหวังพึ่งพายามลำบาก ปรากฏว่าเป็นอู่ซ่อมรถขนาดเล็กของชาวบ้านที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนา มีบ้านคนห่างออกไปอีกหลายสิบเมตร แต่ก็ยังดีกว่าไม่ค่อยสิ่งก่อสร้างอะไรเลยท่ามกลางทุ่งหญ้าธรรมชาติข้างทาง เมื่อถึงแล้วเราก็รีบเข้าไปหลบฝน แล้วบอกว่าเนี่ยน้ำมันเรากำลังจะหมดขอซื้อน้ำมันได้ไหม เขาก็บอกว่าไม่มีๆ แต่เดี๋ยวจะสูบจากเครื่องให้ ซาบซึ้งใจยิ่งนัก T_T 

หลังจากเติมน้ำมันเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็บอกว่าให้อยู่นี่ก่อน ฝนซาค่อยขับรถต่อ มาๆ มากินข้าวกันก่อน (ใจดีจัง) จริงๆเขาก็ไม่ได้พูดหรอก เพราะเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็ใช้ภาษามือคุยกัน (ภาษามือนี่ไร้พรมแดนจริงๆ) สักพักฝนซาเราก็ขอตัวไปก่อน ขอบคุณครอบครัวอู่ซ่อมรถนี้มากๆที่ให้ที่พักพิงยามยาก แต่เวรแล้วสิ เอากุญแจรถไปทิ้งไว้ไหนเนี่ย กุญหารถหายไปไหนไม่ได้อีก 555 เขาก็ช่วยหากันใหญ่เลย ปรากฏว่ามันไปเสียบอยู่ที่ถังน้ำมันรถ ขอบคุณ!! -.-

หลังจากร่ำลาอู่ซ่อมรถใจดีแล้วเราก็ขับรถเดินทางไปต่อ (แต่ไม่ไป Ke Ca Lighthouse ละนะ) เพราะพระอาทิตย์คงถูกทะเลกินไปนานแล้ว เราก็เปลี่ยน Map ไปยัง บ้าน Host เวียดนามเลย สถานที่อื่นๆที่อยู่ลิสก็ต้องเป็นอันยกเลิกไปเพราะฟ้าฝนไม่เป็นใจ แต่ยังไงก็ต้องไปเส้น Ke Ca Lighthouse ที่ถนนสวยๆอยู่ดี

ขับออกมาสักพักฝนก็ตกอีกแล้วจ้า อาเมน -.- ก็ต้องก้มหน้าขับรถยอมรับชะตากรรมต่อไป เส้นทางกลับเข้าสู่เมืองเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ถนนเรียบลาดยางสวยงาม ข้างทางเต็มไปด้วยต้นสนเรียงราย ถ้าเป็นตอนกลางวันมันคงจะสวยมากๆเลยล่ะ แต่นี่มันกลางคืนไง โคตรจะหลอนเลย!! คิดดูมีแสงไฟแค่ไฟหน้ารถเรา ไม่มีไฟข้างทาง ไม่มีบ้านคน ไม่มีแม้กระทั่งเพื่อนร่วมทางหรือรถสวนมาสักคน มีแค่ถนน ทะเล และต้นสนที่สูงดำทะมึนหลายสิบเมตร และสายฝนที่เทกระหน่ำ น้ำมันกำลังจะหมดอีก!! ขอบคุณพระเจ้า T_T

คือเราต้องขับรถอีกประมาณเกือบ 50 กิโลเมตรเพื่อไปยังตัวเมือง (บ้าน Host) ถ้านับจาก Ke Ca Lighthouse แต่อีกเพียงแค่ 20 กิโลเมตรก็จะถึงตัวเมืองแล้วน้ำมันอย่าเพิ่งหมดสิ T_T มันเหลือแค่ขีดเดียวเองอะ เราจึงเปลี่ยน Map ไปยังชุมชนที่ก่อนถึงตัวเมือง เพื่อหาปั๊มน้ำมัน และเราก็ไถรถมาจนได้จนมาเจอปั๊มน้ำมันใกล้ทางด่วน รอดแล้ว 555

เมื่อเติมน้ำมันเสร็จเรียบร้อยเราก็ขับไปบ้าน Host ตามที่เขาส่ง Map ให้ ฝนตกหนักมาก น้ำท่วมถนนในเมืองเลยล่ะ สภาพตอนนี้เป็นลูกหมาตกน้ำเลย

นี่คือสภาพผู้รอดชีวิต ยังยิ้มได้ 555

เมื่อไปถึงบ้าน Host แล้วเขาอึ้งเลย เพราะสภาพเราเปียกมะลอกมะแลก ก็หาเสื้อผ้าอะไรมาให้เปลี่ยน เขาบอกว่าที่นี่ฝนตกมานานแล้ว อย่าบอกว่าเขามอเตอร์ไซค์ตากฝนมาตลอดระยะทาง 3 ชั่วโมงนะ เราก็ตอบว่าใช่ 555 ก็มันเหตุฉุกเฉินจริงๆ ใครจะคิดว่าพายุจะรักเราขนาดนั้น Host ก็บอกเราช่างโชคดีจริงๆ (ประชด) เขาก็ถามกินอะไรมาหรือยัง มาๆ มากินข้าวทำกับข้าวไว้ให้ ตอนนั้นหิวมากไม่ทันได้ถ่าย แต่ Host เวียดนามทำกับข้าวอร่อยมาก อาหารเวียดนามอร่อยดี เขาก็บอกว่าดีใจที่เราดั้นด้นมาหาแม้ว่าฝนจะตก ก็คุยสัพเพเหระ แลกเปลี่ยนกันและกัน Host คนนี้คุยภาษาอังกฤษเก่งมาก ได้ความว่าเป็นหมอ และเปิดบ้านให้คนมาพักเยอะแล้ว

คนที่มาเที่ยวมุ่ยเน่ ชอบมาพักที่นี่ เขารับคนมาเกือบ 30 รายแล้ว ใจดีจังอะ เขาก็บอกเนี่ยเดี๋ยวชงกาแฟให้ดื่ม แล้วจะสอนชงด้วย (กาแฟอีกแล้ว T_T) เราดื่มกาแฟทุกมื้อตอนอยู่ที่เวียดนาม ทั้งๆที่ไทยเราเคยดื่มแค่ 2 ครั้งในชีวิต 555 คนเวียดนามเขาจะภูมิใจนำเสนอกาแฟบ้านเขามาก แต่ก็ยอมรับว่าอร่อยจริงๆ  

หลังจากที่เล่นกันมาพอสมควรเขาเห็นว่าดึกมากแล้วให้กลับไป Mui Ne เถอะ เดี๋ยวจะไม่มีรถสวนตอบกลับ ฝนหยุดแล้ว เราก็โอเคๆ ขอบคุณมากๆนะสำหรับวันนี้ แม้ว่าจะไม่ได้นอนค้างอ้างแรมด้วยกันเพราะว่าของเราอยู่บ้าน Host รัสเซีย ก็คิดว่าจะขึ้นรถทัวร์ที่นุ่นเลย แต่ก็ใช้เวลาช่วงสั้นๆรู้จักและแบ่งปันสิ่งดีๆให้กัน ถ้ามีโอกาสได้กลับไปเวียดนามอีกครั้งแล้วเราจะกลับมาเยี่ยมเยียน


ตอนที่ 8 ยินดีต้อนรับกลับเข้าสู่ บ้านเดิม

หลังจากที่ขับรถออกจากบ้าน Host เวียดนาม ไปสักพักฝนก็ตกลงมาอีกแล้ว ขอบคุณ -.-! แต่ก็ยังดีที่ไม่ตกมากเหมือนก่อนหน้านี้ ใช่เวลาเพียงแค่ 15 นาทีเราก็เดินทางมาถึงบ้าน Host รัสเซีย Host แลดูเป็นกังวลมากเลยล่ะ ก็แหงล่ะตอนนั้นเวลาเกือบจะ 5 ทุ่มแล้ว ซอรี่น้าๆ ที่ไอไม่ได้ไปกับยู ไม่น่าให้ยูไปเผชิญชะตากรรมเพียงลำพังเลย เราก็บอกว่าไม่เป็นไรๆ เราปลอดภัยดี เขาก็ไล่เราไปอาบน้ำ หาอะไรมาให้กิน เราก็บอกกินมาแล้วๆ แต่เขาก็อยากให้ชิมอยู่ดี มาแล้วต้องลอง โอเค ลองก็ได้ ท้องจะแตกแล้ว 555

มันคืออะไรไม่รู้อะ จับใจความได้ว่ามีประโยชน์มากๆ และเป็นอาหารขึ้นชื่อของรัสเซีย แต่เราฟังไม่ชัดว่ามันเรียกว่าอะไร เขาเสริทให้ดูใน Internet ก็มีแต่ภาษารัสเซีย อ่านไม่ออกโว๊ยยยยยยยย 555 แต่มันไม่อร่อยอะ T_T เราแพ้ของมีประโยชน์มั้ง แล้วเขาสรรหาบะหมี่รัสเซียมาให้กินอีก

เอิ่ม... มันเหมือนมาม่าเส้นหมี่ขาวบ้านเราเลยอะ แต่รสชาติจืด และเหมือนฉุนอะไรสักอย่าง แต่เป็นการฉุนแบบกลมกล่อม งงปะ 55 ไม่รู้ว่าจะอธิบายว่าไงดี แต่คือมันไม่อร่อย แต่ก็กินได้อะมันเป็นรสชาติไม่อร่อยแบบกลมกล่อม

คุยกันอีกสักพักเราก็ขอตัวนอนก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับแต่เช้าไม่อยากตกรถ ตกเครื่อง เขาก็โอเคๆ เดี๋ยวตี 5 มาปลุก อะไรนะ?ตี 5 มาปลุกกกกก..อะไรนะ?ตี 5 มาปลุกกกกกกกกกกกกก.. อะไรนะ?ตี 5 มาปลุกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก..  

แต่ตอนนี้ตี 2 แล้ว ข้าน้อยสมควรตาย Zzzz เมื่อวานก็นอน 1 ชั่วโมงเอง พังๆๆ แต่พลังยังคงมีอยู่ (ไม่ได้เสพนะ) แต่ขาย อ้าววววว?.. หลอกๆ ฝันดีราตรีสวัสดิ์ Zzzz


ตอนที่ 9 ด้วยคำที่บอกว่าเราจะมาพบกันใหม่

ตี 5 ล้าท่าผี... ใช่แล้วไม่ผิดหรอก เพราะสภาพเราเป็นยายเพิ้งมาก แต่ก็ต้องตื่น ทำไมต้องตื่นตี 5 น่ะเหรอ เพราะ Host จะพาไปซื้อตั๋วกลับโฮจิมินห์ให้ทันรอบ 7 โมง ก็เลยต้องตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว เคลียร์ตัวเอง ร่ำลาบ้านของเพื่อน (เพราะเพื่อนบ้านหลับอยู่) เลยบ๊ายบายบ้านแทน 555 ทำอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว Host ก็พาเราแว๊นซ์ไปซื้อตั๋ว ที่ต้องมาเช้าๆก็เพราะว่าเราไม่ได้จอง เพราะตอนแรกแพลนไว้ว่าจะนอนในเมืองแล้วขึ้นรถจากในเมืองเลย เวลาผ่านไป 6 โมงเศษๆเราก็จัดการเรื่องตั๋วเรียบร้อย ก็รอเวลาที่รถทัวร์จะมารับ ขากลับ Host พาเราไปทัวร์ Tam Manh Treavel เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง  

สนนราคาอยู่ที่ 140.000 dong ประมาณ 218 บาท

ขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกละกันนะ ขอบคุณมากๆ  

สรุปฝนตกทั้งคืน และตอนเช้าก็ยังตกอีก

ไม่นานเกินรอ รถทัวร์ก็มาเทียบท่า ร่ำลากันเสร็จเราก็เดินทางกลับโฮจิมินห์ ระหว่างทางรถก็จอดแวะจุดพักรถเช่นเคย เลยกะว่าจะเดินไปหาซื้อของฝากสักหน่อย เดี๋ยววนไปเวียนมาสุดท้ายได้กล้วยเวียดนามกลับไทยเฉย 555

การเดินทางร่วมระยะเวลา 5 ชั่วโมง รถทัวร์ก็พาเรามาถึงโฮจิมินห์ ซิตี้ ที่ที่เหมือนจะคุ้นเคย ฝนยังคงตกเช่นเดิม บรรยากาศเหงาๆ ผู้คนประปราย 

ในวันที่ฝนตกไหลลงที่หน้าต่าง เธอคิดถึงฉันบ้าง ไหม หนอเธอ

ทีนี้รถทัวร์ก็มาจอดแถว Bến Thành Market ที่เป็นท่ารถ รวมรถทุกอย่างที่เราจะไปต่อโน้นไปนี่ นับว่าสะดวกทีเดียวเลยล่ะ ตอนแรกกะว่าจะเดินเล่นตลาด แต่ว่าฝนตกน่ะสิ ทำอะไรไม่ได้เลย T_T เหลือเวลาอีกตั้ง 2 ชั่วโมง ก็เลยหารถเมล์ไปสนามบินเลยละกัน ก็มองหน้ารถเมล์เลข 152 เหมือนเดิม ปรากฏว่าเดินจนทั่วแล้วไม่มีเลยเลย สงสัยยังไม่มา ก็เลยถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นว่ามีรถคันไหนไปสนามบินบ้าง เขาก็บอกว่าให้ไปขึ้นรถเมล์เลข 109 เราก็เดินๆไปขึ้นรถเมล์คันนี้  

บนรถคนโล่งมาก หรือเป็นเพราะว่ามันแพงกว่า 152 กันนะเลยไม่มีคนขึ้นมา เดินทางแบบ Vip อีกแล้วเรา ขอเจิมรอยเท้าสักหน่อย 555

เหงาไหมพี่!!  

พูดมาก เก็บตังค์ซะเลยนี่ TT

สนนราคาอยู่ที่ 20.000 dong ประมาณ 32 บาท ราคาต่างจากรถเมล์เลข 152 15.000 dong Free Wifi เช่นเคย

บนรถจะมีป้ายบอกว่ารถคันนี้จะผ่านที่ไหนบ้าง

บรรยากาศเหงาเป็นสัญญานว่าเรื่องเล่านี้ได้จบลงแล้ว  

ด้วยคำที่บอกว่าเราจะมาพบกันใหม่... 

แล้วเราจะกลับมาพบกันอีก....  

...See other attraction more  https://www.facebook.com/herdingcat