• สายการบิน
  • ประสบการณ์ที่คุณจะได้รับ
  • เตรียมตัวก่อนเดินทาง
  • ที่พัก
  • รีวิวท่องเที่ยว
  • ของขึ้นชื่อประจำเมือง
  • สรุปค่าใช้จ่ายต่อคน
  • สรุปตารางท่องเที่ยว
6 วัน 5 คืน

Go Go Go Osaka Japan

วันที่เขียน 23/09/2020
ยอดเข้าชม

263

Go Go Go Osaka Japan

วันที่เขียน

23/09/2020

ยอดเข้าชม

263

#Osaka #Kyoto

สายการบิน

Airlines

  • Hong Kong Airlines
    Hong Kong Airlines
    BKK
    04:00
    KIX
    16:40
  • Hong Kong Airlines
    Hong Kong Airlines
    KIX
    09:00
    BKK
    17:30

เตรียมตัวก่อนเดินทาง

ตั๋วเครื่องบิน

เราเดินทางด้วยสายการบิน Hongkong  Airline โดยเราจองมาในราคา 11,827 บาท ซึ่งเป็นการบินแบบต่อเครื่อง โดยเราต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามฮ่องกงอีกรอบหนึ่งนั่นเอง ซึ่งเราต้องจองแบบนี้เพราะทริปนี้เราตามเพื่อนไปนั่นเอง ซึ่งมีเวลาในการจองแค่ 1 อาทิตย์เท่านั้น ดังนั้นเราได้ ราคานี้ถือว่าคุ้มค่ามากๆ เพราะเป็นสายการบินแบบ Full Service และได้น้ำหนักกระเป๋าถึง 25 กิโลกรัมอีกด้วยนะ

ซึ่งเราขอชมเลยว่าสนามบินฮ่องกงเป็นสนามบินที่ดีมากอีกสนามบินหนึ่งที่เราเคยไปมา เพราะมีเครื่องอำนวย ความสะดวกสบายมากมาย ให้ผู้โดยสารที่มานั่งรอไม่เบื่อ เช่น คอมพิวเตอร์ Macintosh อย่างดีเล่นเน็ตฟรีๆ และที่ชาร์ตไฟทั้งแบบปลั๊ก และแบบ USB ตามที่นั่งมากมาย รวมถึงยังมีที่นั่งแบบเตียงนอนพร้อมอำนวย ความสะดวกอีกด้วยนะ


แลกเงิน

เราแลกจาก Superrich สีเขียวมานะ แนะนำให้ค่อยดูเรทเงินดีๆ และทยอยแลกเก็บเอาไว้ ไม่จำเป็นต้องแลกทีเดียวเป็นจำนวนเยอะๆ เพราะมีโอกาสจะขาดทุนเวลาค่าเงินเยนลงนั่นเอง


การเดินทาง

การเดินทางในทริปนี้เราใช้รถไฟฟ้าใต้ดินของเอกชนในเมืองโอซาก้าในการเดินทางนะ เพราะใกล้สถานที่ต่างๆ ที่เราจะไป และดูง่ายกว่ารถไฟ JR อีกด้วย แต่ราคาก็จะแพงกว่านิดหน่อย แต่ก็มี 2 วันสุดท้ายเราใช้ บัตร Amazing Osaka Pass แบบ 2 วัน


Osaka Amazing Pass

บัตรโอซาก้าอเมซิ่งพาส (Osaka Amazing Pass) แบบรับที่สนามบินคันไซ
https://www.klook.com/th/activity/1323-amazing-pass-osaka 

สามารถใช้โดยสารการขนส่งสาธารณะต่าง ๆ ในโอซาก้าได้อย่างไม่จำกัด นอกจากนั้นยังสามารถ ใช้บัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อมากมายในเมืองโอซาก้ากว่า 30 แห่ง ได้อีกด้วย


แนะนำเว็บ/แอปพิลเคชัน

  • Hyperdia เว็ปเช็คเส้นทางการเดินรถไฟทั่วทั้งประเทศญี่ปุ่น http://www.hyperdia.com
  • Osaka Rail Map Lite แอปที่ใช้ในการเดินการในโอซาก้า
  • Google Translate แอปใช้แปลภาษาให้เราอ่านพอเข้าใจได้บ้าง
  • Gurunavi แอปแนะนำร้านอาหารที่เด็ดที่สุดของญี่ปุ่น

สภาพอากาศ

ช่วงที่เราไปจะยังยังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่เทียบกับเดือนเมษายนแล้วถือว่าอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ช่วงเที่ยงถ้ามีแดดออกจัด ก็จะรู้สึกร้อนบ้าง ในช่วงกลางวันและกลางคืนก็มีอุณหภูมิแตกต่างกันพอสมควร อุณหภูมิเฉลี่ย 20 - 30 องศา เราแนะนำให้พกเสื้อแจ็คเก็ตหรือเสื้อคลุมติดไปด้วย เพราะอากาศอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงมากในช่วงตอนเย็นและตอนค่ำนั่นเอง

ค่าครองชีพ

ค่าครองชีพเอาจริงๆ เราว่าที่โอซาก้าถูกโตเกียวนิดนึง ในเกณฑ์ที่ราคาพอรับได้ ทั้งค่ากิน ค่าที่พัก ค่าเดินทาง เป็นอีกเมืองนึงของญี่ปุ่นที่พอเหมาะพอดีกับการท่องเที่ยวจริงๆ

อินเทอร์เน็ต

เราใช้ Sim2Fly ของ AIS ราคา 399 บาท สามารถใช้ได้สูงสุด 8 วัน

ที่พัก

รีวิวท่องเที่ยว

โอซาก้า (Osaka) เป็นจังหวัดที่อยู่ในภูมิภาคคันไซ (Kansai) ซึ่งเป็นภาคกลางตอนล่างของญี่ปุ่น เป็นศูนย์กลางการค้าและอุตสาหกรรมที่สำคัญและยังเป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 รองจากโตเกียวและโยโกฮามา เมืองใกล้ๆกับโอซาก้าที่เราสามารถไปเที่ยวแบบเช้า-เย็นกลับได้มีหลายเมือง แต่ในทริปนี้เวลาเราน้อยเลยเลือกที่จะไป โกเบ (Kobe) กับ (Kyoto) แต่ไม่ต้องกลัวเรามีรูปจากอีกทริปมาผสมผสานให้แน่นอน จะไปไหนบ้างลองมาติดตามกันนะ


วันที่ 1 | ออกเดินทาง

เราเดินทางด้วยสายการบิน Hongkong  Airline ซึ่งเป็นการบินแบบต่อเครื่อง โดยเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา ตี 4 และมาลงที่สนามบินฮ่องกงเวลาประมาณ 8 โมงเช้า เพื่อมารอต่อเครื่องอีกประมาณ 3 ช.ม เราได้ขึ้นเครื่องราวๆ เที่ยง และบินต่อไปจนถึงสนามบินคันไซ (KIX) เวลาเกือบ 5 โมงนั่นเอง 

พอออกจากตอมอ และไปรับกระเป๋า ก็ได้เข้าเมืองกัน ซึ่งเราใช้รถไฟใต้ดิน Nankai ซึ่งจะอยู่ที่อาคาร 1 ชั้น 2 ติดกับชั้นขาออกไปภายในประเทศ เรานั่งไปลงสถานี Tennoji ไม่จองที่นั่ง 1,710 เยน และก็ต่อใต้ดินอีกทีไปลง Namba ได้เลย 

สามารถเข้าไปดูวิธีต่างๆ ได้ที่นี่ http://www.mprabin.com/2017/05/07/airport2osaka/ (ข้อมูลเค้าละเอียดมาก)


ย่านโดทงโบริ (Dotonbori)

ซึ่งมาถึงที่พักเปลี่ยนชุดก็ออกมาที่ ย่าน Dotonbori ซึ่งเรานั่งใต้ดินมาแค่ 2 สถานี  โดยนั่งจากสถานี Nipponbashi มาลงที่ Namba นั่นเอง โดยย่าน Dotonbori นี้จะเป็นย่านการค้าที่สำคัญของ Minami ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง โอซาก้าทางด้านทิศใต้ ซึ่งมีปูยักษ์จำลองเป็นเครื่องหมายร้าน ป้ายกูลิโกะที่มีแสงไฟกระพริบหยิบยับยามค่ำคืน ทำให้ที่นี่กลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญอีกนึงแห่งของเมืองโอซาก้าอีกด้วย


ร้านอาหารที่จำชื่อไม่ได้

ร้านนี้จำชื่อไม่ได้ แต่อยู่ข้างๆ ร้าน Kinryu Ramen หรือ ร้านราเมนมักรทอง ตรงข้ามร้านปูยักษ์ ซึ่งเป็นสาขาที่คนยืนต่อคิวกันยาวๆ นั่นแหละ ส่วนร้านนี้น้ำซุปและหมูชาชูมีความเข้มข้นมาก และยังมีไข่ดิบให้ใส่ ฟรี!! อร่อยดีต้องมาลองกันนะ


Kinryu Ramen

เรารู้จักกันในนามราเม็งมังกรต้องติดโผเข้ามาด้วยอย่างแน่นอน เพราะที่นี่คือ ร้านราเมน Kinryu Ramen ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก สาเหตุที่พวกเรามักจะเรียกร้านนี้ว่าร้านราเม็งมังกรทองจนติดปากก็เพราะว่าด้านบน ของร้านมีมังกรตัวใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของที่ร้านนั่นเอง ใครที่อยากมาลองสามารถมากันได้ที่ย่านนี้นะ ถ้าร้านใหญ่เต็ม ก็สามารถมาสาขาแบบยืนกินได้นะ อยู่ตรงถนนใหญ่เลย


ร้านพุดดิ้งสด (Mattari Pudding)

เพื่อนได้แนะนำร้านพุดดิ้งอร่อยๆ มา ร้านนี้ชื่อว่า ร้าน Mattari Pudding เป็นร้านพุดดิ้งสดที่ซื้อไปฝากไม่ได้ ต้องมากินถึงนี่อย่างเดียว อร่อยดี รสชาตินมๆ มันๆ
https://www.mangoplate.com/en/restaurants/WbuyF_0DTpv2


ชมบรรยากาศยามค่ำคืน

ในค่ำคืนของวันแรกก็มีเพียงเท่านี้ เพราะเดินทางแบบต่อเครื่อง ทำให้ถึงโอซาก้าค่อนข้างดึก เลยได้แค่เดินเล่นในย่าน Dotonbori นี้เท่านั้นเอง


วันที่ 2 | มาถึงแล้ว โอซาก้า

ที่พักเราอยู่ใกล้กับ ตลาด Kuromon Ichiba ซึงเราสามารถเดินทางมาได้ง่ายๆ โดยนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Nipponbashi ทางออก 10 เดินแปปเดียวถึงตลาดเลย ตลาดเปิด - ปิด ประมาณ 9.00 – 18.00 น.


ตลาดคุโรมง (Kuromon Market)

ตลาดสด Kuromon Market หรือเรียกง่ายๆ ว่า “ตลาดคุโรมง“ เป็นตลาดสดเก่าแก่ของโอซาก้า ที่มีอายุอานามกว่า 190 ปีแล้ว ตลาดแห่งมีชื่อเสียงถึงขนาดที่ ได้รับสมญานามว่าเป็น “ครัวของโอซาก้า“ กันเลยทีเดียว 

ภายในมีร้านค้ามากกว่า150 ร้านค้า ตลอดระยะทางกว่า 580 เมตร

ในสมัยปลายยุคเมจิ มีชื่อเรียกเดิมว่า Emmeiji Market เนื่องจากว่าอยู่ใกล้กับวัด Emmeiji และตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เคยเป็นประตูทางเข้าของวัด ที่เรียกว่า Kuromon แปลว่า ประตูดำ ต่อมาจึงกลายเป็นที่มาของชื่อตลาด ที่เรียกกันจนติดปากว่า Kuromon Ichiba นั่นเอง

เราก็แวะร้านซูซิร้านนึงในตลาด เห็นแล้วอดใจไม่ไหวซื้อมากินในร้านได้เลย ราคา 1,500 – 2,500 เยน โดยเราสามารถนำของที่เราซื้อมานั่งทานด้านในได้อีกด้วย


ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle)

ประมาณสายๆ เราออกเดินทางมาสถานที่สำคัญที่แรกของโอซาก้า นั่นคือ ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) เดินทางโดยรถไฟใต้ดินสถานี Morinomiya C19 ออกทาง 3B ที่เขียนว่า Osaka Castle

วันนี้เราจะใช้ บัตร Amazing Osaka Pass เพราะสามารถเข้าชมภายในตัวปราสาทฟรี ภายในก็จะมีประวัติต่างๆ ของปราสาทแต่เราจะสามารถถ่ายภาพได้บางชั้นเท่านั้นนะ ซึ่งในแต่ละชั้นก็จะเล่าถึงประวัติต่างๆ ของตัวปราสาท และเมืองโอซาก้าแห่งนี้

ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ถูกสร้างขึ้นในปี 1583 ท่านโทโยมิ ฮิเดโยชิ ผู้สร้างปราสาทตั้งใจให้ปราสาท แห่งนี้เป็นศูนย์กลางใหม่ของญี่ปุ่นภายใต้การปกครองของท่าน แต่หลังจากที่ท่านฮิเดโยชิเสียชีวิตลง ปราสาทได้ถูกโจมตีและทำลายโดยทหารของโทคุกาว่า ต่อมาได้มีการสร้างปราสาทขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี 1620 แต่หอคอยถูกไฟไหม้และฟ้าผ่าในปี 1665 ภายหลังมีการซ่อมแซมและสร้างลิฟท์เพื่อให้ขึ้นไปชมความงาม บนปราสาทได้ง่ายขึ้น


ย่านริมอ่าวโอซาก้า (Osaka Bay Area)

ช่วงบ่ายเราเดินทางมาต่อกันที่ ย่าน Osakako เดินทางง่ายๆ ด้วยรถไฟใต้ดิน ลงสถานี Osakako ทางออก 1 ซึ่งย่านนี้ก็จะมี ท่าเรือที่ชื่อ Osaka Bay Area และ เรือ Santa Maria ที่สามารถขึ้นชมวิวอ่าวท่าเรือ ของเมืองโอซาก้าได้ นอกจากนี้ยังมี ชิงช้าสวรรค์ Tempozan Wheel ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถเข้าฟรีโดยใช้ บัตร Amazing Osaka Pass

** สำหรับ Osaka Aquarium Kaiyukan จะได้เป็นคูปองส่วนลด 100 เยน แทน

แนะนำให้ขึ้น Tempozan Wheel ฟรี โดยใช้ บัตร Amazing Osaka Pass ซึ่งค่าขึ้นปกติราคาจะอยู่ที่ครั้งละ 800 เยนนะ


หมู่บ้านเท็มโพซานฮาร์บอร์ (Tempozan Harbor Village)

ข้างๆ ชิงช้าสวรรค์ Tempozan Wheel เป็นห้าง Tempozan Harbor Village พอเข้ามาด้านในจะ เจอร้านค้าและร้านอาหารมากมาย ซึ่งเราก็มาฝากท้องกันที่นี่เลย

ซึ่งเราเลือกร้านสเต็กสั่งเป็น Beef Hamburger Steak ราคา 840 เยน อร่อยดี เนื้อนุ่มกำลังดี ถ้าอยากได้กลิ่นเนื้อหอมๆ สามารถเอาไปจี่บนเหล็กทรงกระบอกด้านข้างได้อีกด้วยนะ ต่อด้วยของหวานนิดหน่อย (เหรออ..ออ!!? 555)


ล่องเรือซานต้ามาเรีย (Santa Maria)

เราต่อด้วยการล่องเรือซานต้ามาเรีย (Santa Maria) ชมอ่าวโอซาก้าแบบฟรีๆ ด้วย บัตร Osaka Amazing Pass ซึ่งราคาปกติคือ 1,600 เยน ใช้เวลาแล่น ไป - กลับ ประมาณ 45 นาที


พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูกัง (Osaka Aquarium Kaiyukan)

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูกัง (Osaka Aquarium Kaiyukan) ค่าเข้าชมประมาณ 2,300 เยน เว็ปทางการ http://www.kaiyukan.com/language/thai

เดินเข้าอาคารมาก็จะเจอกับห้องที่บนเพดานนั้นกลับเต็มไปด้วยไฟ ราวกับว่าเราอยู่ใต้ท้องทะเลลึก ที่มีแสงสว่างจากเหล่าแพลงก์ตอนเปล่งแสงให้เห็นความสวยงามตลอดทาง

Osaka Aquarium Kaiyukan เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นและทวีปเอเชียมีทั้งหมด 8 ชั้น เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1990 ด้านหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์มีโครงเหล็กดัดรูปปลาฉลามวาฬตัวใหญ่ ที่รายล้อมด้วยโลมาหลายตัวเป็นจุดเด่น ซึ่งไฮไลต์ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

ด้านในก็จะมีทั้งสัตว์น้ำและสัตว์ครึ่งบนครึ่งน้ำอยู่มากมายหลากหลายชนิด ให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกันไป โดยไฮไลท์หลัก จะเป็นพวก โลมา นากทะเล เพนกริน และปลาน้ำลึกต่างๆ งานนี้ถึงแม้จะไม่ได้ไปแบบวางแผนเอาไว้ แต่ก็สนุกเกินกว่าที่คิดไว้เยอะเลยละนะ

ใช้เวลาชมแบบไม่รีบร้อนจะใช้เวลาประมาณ 1 - 2 ชม. รีบหน่อยก็ 1 ชม.


วันที่ 3 | ชมวิวบนชิงช้าสวรรค์

วันนี้จะพามาเที่ยว 2 ย่าน นั่นก็คือ ย่านชินเซไก (Shinsekai) และ ย่านอูเมดะ (Umeda)


ย่านชินเซไก (Shinsekai)

วิธีเดินทางมาย่านชินเซไก (Shinsekai) มีหลายวิธีโดย JR Loop Line ลงสถานี Shin-Imamiya ออกทาง East Exit เดินมาประมาณ 5 นาที หรือมาจากรถไฟใต้ดินสาย Midosuji หรือ Tanimachi Line ลงสถานี Dobutsuen-mae Station ทางออก 5 หรือ สถานี Ebisucho ทางออก 3 เดินมาประมาณ 5 - 10 นาที


ย่านชินเซไก (Shinsekai) ที่แปลว่า “โลกใหม่” ของเมืองโอซาก้าในช่วงปี 1900 แต่ด้วยความเจริญเติบโตของย่านการค้าในเมืองอย่าง ย่านนัมบะ (Namba) จึงทำให้ที่นี่ค่อยๆเงียบเหงาลงเรื่อยๆ จนปัจจุบันจะคึกคักมีแสดงสีในช่วงค่ำเท่านั้น (ซึ่งเรามาช่วงเช้าปะโธ๋!! 555)


บิลลิเคน (Billikan)

นี่คือ บิลลิเคน (Billikan) หรือ เทพแห่งโชคลาภ ที่เป็นอีกหนึ่งสัญญลักษณ์ของย่านนี้


หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku)

หอคอยซึเทนคาคุ (Tsutenkaku) ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของ ย่านชินเซไก นี้ตั้งอยู่ตรงกลาง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญญลักษณ์ที่แสดงความเจริญของเมืองโอซาก้าสมัยก่อน เพราะเมื่อตอนที่ สร้างนั้นเป็นอาคารที่มีความสูงมากที่ในเอเชีย จึงเป็นที่มาของชื่อหอคอยนี้ Tsutenkaku ที่แปลว่าสูงเท่าฟ้า นั่นเอง และมียังการประดับประดาด้วยไฟ จนกลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกจุดหนึ่งให้มาเยือนย่านนี้ในยามค่ำคืน


โอโคโนมิยะกิ (Okonomiyaki)

เราแวะเข้ามากิน พิซซ่าญี่ปุ่น หรือ โอโคโนมิยะกิ (Okonomiyaki) ซึ่งเป็นอีกนึงเมนูที่มาโอซาก้าแล้วต้องลอง ซึ่งจะมีร้านทำโอโคโนมิยะกิอยู่มากในย่านชินเซไกนะ เราสามารถเลือกร้านที่ชอบได้เลย


ย่านอูเมดะ (Umeda)

บ่ายๆ เรามากันที่ย่านอูเมดะ (Umeda) โดย JR ลงสถานี Osaka Umeda หรือ รถไฟใต้ดินสาย Misdosuji Subway Line ลงสถานี Umeda เรามาที่ ห้าง Hankyu Entertainment Park หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า HEP Five 

จุดหมายคือ มาขึ้นชิงช้าสวรรค์สีแดงขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Hep Five Ferris Wheel สามารถซื้อตั๋วขึ้นได้จาก ชั้น 7 ของห้าง ราคา 500 เยน ใช้เวลา 15 นาทีต่อรอบ

สามารถขึ้นฟรีได้ด้วย บัตร Amazing Osaka Pass นะ


ตึกชมวิวอูเมะดะสกาย (Umeda Sky Building)

สถานที่ต่อมาเรายังอยู่ในย่ายฮูเมดะกันให้เดินมาที่ ตึกชมวิวอูเมะดะสกาย (Umeda Sky Building) ตั้งอยู่ใกล้ Osaka and Umeda Station หรือรู้จักกันในชื่อ New Umeda City เดินไปประมาณ 10-15 นาที (เปิด Google Map ไปเลยนะ GPS: 34.705361, 135.49025) ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ราคา 1,000 เยน ซึ่ง 

บัตร Osaka Amazing Pass สามารถชมวิวที่ตึกได้ฟรี

รูปร่างของตึก Umeda Sky Building มีลักษณะเป็นตึกแฝด มีสะพานเชื่อมถึงกันที่กลางตึก และที่ดาดฟ้ามี Platform รูปทรงสี่เหลี่ยม มีรูตรงกลางแบบโดนัท เชื่อมระหว่าง 2 ตึกไว้ บริเวณนี้เป็นจุดชมวิว 360 องศา เรียกว่า Floating Garden Observatory

ดาดฟ้าของตึกเปิดให้เป็นจุดชมวิว สามารถมองเห็นวิวโอซาก้าได้โดยรอบ ซึ่งจะต้องขึ้นบันไดเลื่อนที่ชั้น 35


วันที่ 4 | โกเบ

วันนี้เราจะมาเที่ยวกันที่เมืองโกเบ (Kobe) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโอซาก้าโดยเรานั่งรถไฟ Shnshin จากสถานี Sakuragawa มาลงที่ Kobe-Sannomiya ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ราคา 410 เยน


โกเบ (Kobe)

โกเบ (Kobe) หนึ่งในเมืองท่าสำคัญของญี่ปุ่นในภูมิภาคคันไซที่อยู่ไม่ไกลจาก โอซาก้า (Osaka) สามารถนั่งรถไฟโดยใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้น (แล้วแต่ว่าเรามาจากสถานีไหนในโอซาก้า) นักท่องเที่ยวมากมายจึงเลือกที่จะเดินทางไปเที่ยวเมืองโกเบแบบเช้า-เย็นกลับ หรือ ครึ่งวัน ซึ่งเราเลือกเที่ยวแค่ครึ่งวันเพราะตอนเย็นวางแผนว่าจะไปย่าน Umeda ซึ่งเราวางแผนว่าจะไปกินสเต็กที่ร้าน Steak Land ต่อด้วยไปดูหุ่นยนต์เหล็กหมายเลข 28 และไปเดินเล่นชมวิวที่ฝั่งท่าเรือโกเบฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland)


ศาลเจ้าอิคุตะ (Ikuta Shrine) 

ศาลเจ้าอิคุตะ (Ikuta Shrine) เป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเลย สามารถเดินมาจากสถานี Sannomiya ประมาณ 10 นาที


ร้าน Steak Land

เรามาถึง โกเบ (Kobe) ก็เกือบ 11 โมง เลยเปลี่ยนแผนมาต่อคิวรอกินชุด Kobe Beef Steak Lunch ที่ร้าน Steak Land ก่อน (11.00 – 14.00 น. ราคา 3,180 เยน) เดินทางมาลงสถานี Sannomiya ออกทาง West Exit เดินมาประมาณ 3 นาที รอพนักงานเรียกคิว ซึ่งเค้าจะพามาอีกตึกอยู่ในซอย แล้วให้เราขึ้นลิฟต์ไปชั้น 6 เลย (ไม่ต้องตกใจนะ 555)

พอขึ้นมาถึงพนักงานก็จะพามานั่งตามโต๊ะที่มีกระทะอยู่ตรงหน้าเรา เพราะจะมีเชฟมาทำให้เราดูกันสดๆ จากนั้นเชฟจะนำเนื้อโกเบ เกรด A4 แต่ดูลายไขมันกับสีของเนื้อแล้ว ก็รู้ว่าดีแน่นอน และเชฟก็เริ่มทำการผัดกระเทียมกับผัดต่างๆก่อน แล้วตามด้วยการทำสเต็กแบบเดียมแร (Medium Rare) เสริฟมาพร้อมข้าวสวยร้อน สลัด ซุปมิโซะ และน้ำจิ้มต่างๆ ให้ได้เลือกลิ้มลองกัน


รถไฟใต้ดิน (Kobe Subway)

ในเมืองโดเบเราใช้รถไฟใต้ดิน Kobe Subway ในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งจะมี 2 สาย คือ Seishin-Yamagata Line (สีเขียว) และ Kaigan Line (สีน้ำเงิน) เราสามารถซื้อ Bus & Subway One Day Pass ราคา 820 เยน ตรง Kobe Info Center (บริเวณสถานี JR Sannomiya) ได้เลย


หุ่นเหล็กยักษ์ 28 (Tetsujin 28 Monument)

สายๆ เรามาเช็คอินถ่ารูปกับ หุ่นเหล็กยักษ์ 28 (Tetsujin 28 Monument) ซึ่งถึงเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของเมืองโกเบเลยก็ว่าได้ โดย หุ่นจะมีความสูง 18 เมตร เท่าตัวจริง และมีน้ำหนักกว่า 50 ตัน สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเมืองโกเบแข่งกับหุ่นกันดั้ม ในโอไดบะของเมืองโตเกียว ซึ่งเจ้าหุ่น Tetsujin 28 เป็นส่วนหนึ่งของ Wakamatsu Park

เดินทางโดยนั่ง JR สาย Kobe ลงที่สถานี Shin-nagata หรือ นั่งรถใต้ดินสาย Seishin-Yamate ลงที่สถานีเดียวกันคือ Shinnagata ทางออก


ฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland)

พอบ่ายๆ เราก็มาที่ ฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland) เพื่อชอปปิ้งกันและถ่ายรูป โกเบ พอตทาวเวอร์ (Kobe Port Tower)

เดินทางโดยนั่ง JR มาลงสถานี Kobe หรือ นั่งรถไฟใต้ดิน Seishin-Yamate มาลงสถานี Harborland ทางออก 2


จะมี ห้าง Umie Mosaic ตั้งอยู่ริมน้ำภายในมีร้านค้าเล็กๆ ขายเสื้อผ้า ร้านอาหาร และร้านกาแฟที่สามารถ เห็นท่าเรือโกเบได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีสวนสนุกเล็กๆ สามารถขึ้นไปชมวิวบนชิงช้าสวรรค์ที่ตั้งอยู่ หลังอาคารของห้าง และยังมีพิพิธภัณฑ์อันปังแมน (Anpanman Kids Museum & Mall) อีกด้วย ซึ่งเสียดาย ที่เราไม่ได้เข้าไป เพราะต้องรีบกลับไปชอปปิ้งที่ Namba นั่นเอง


โกเบ พอตทาวเวอร์ (Kobe Port Tower)

โกเบ พอตทาวเวอร์ (Kobe Port Tower) เป็นสัญญลักษณ์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองโกเบ เป็นอาคารชมวิวสีแดงตั้งอยู่ริมทะเล มีสถาปัตยกรรมแบบเกลียวเลียนแบบรูปทรงของกลองยาวของญี่ปุ่น


วันที่ 5 | เกียวโต

เกียวโต หรือ เคียวโตะ (Kyoto) เป็นอดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่น จึงเป็นเมืองที่มีการผสมผสานกันระหว่างเมืองแห่ง ประวัติศาสตร์และความทันสมัยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนที่ไม่หยุดนิ่ง และยังกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ แห่งหนึ่งที่เราสามารถเยี่ยมชมมรดกโลก เช่น วัดคิโยมิสึ ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ กับประตูโทริอินับพันต้น เราจึงไม่แปลกใจ เลยว่าทำไมนักท่องเที่ยวถึงอยากที่จะมาเที่ยวชมเมืองแห่งประวัติศาสตร์แห่งนี่กันอย่างมากมาย


วิธีการเดินทางมาเกียวโต (Kyoto)

เริ่มต้นที่สถานี Osaka แล้วเปลี่ยนมาเป็นสาย JR Kyoto Line สามารถขึ้นได้ 3 แบบ คือ

  1. Special Rapid ใช้เวลา 30 นาที
  2. แบบ Rapid ใช้เวลา 40 นาที
  3. แบบ Local ใช้เวลา 45 นาที ราคา 560 เยน

เช็ครอบดีๆ ใน Hyperdia ว่ารอบกี่โมงเป็นขบวนแบบไหนเพราะราคาเท่ากันทุกแบบนะ ถ้าไม่ Reserved Seat จองที่นั่ง ดูรูปและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่


สถานีรถไฟเกียวโต (Kyoto Station)

สถานีเกียวโต เป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่และศูนย์กลางรถบัสของเมืองเลยก็ว่าได้ ซึ่งเราจะเห็นหอคอยเกียวโต (Kyoto Tower) ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามสถานีเกียวโตอีกด้วย

ที่นี่มีบริการรถลากพาเที่ยวไปตามถนนและสถานที่สำคัญต่างๆ โดยสนนราคาอยู่ที่ประมาณ 5,000 - 7,000 เยน ต่อรอบขึ้นอยู่กับว่าจะไปที่ไหน


สะพานโทเง็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge)

สะพานโทเง็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge) เป็นหนึ่งในสัญลักษ์ของเมืองอาราชิยาม่า (Arashiyama) เดินจากสถานี Arashiyama Station ประมาณ 10 นาที โดยข้างสะพานไปจะเป็นเหมือนเกาะเล็กๆ ที่อยู่กลางแม่น้ำ ภายในเกาะ เป็นร้านขายอาหาร ขายสินค้า ผู้คนนิยมมาเดินเล่นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงซากุระ ถือเป็นสะพาน ที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากๆ เลยนะ

ภาพวิวจากบนสะพานโทเง็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge) สวยงามตามคำเล่ารือจริงๆ

เดินต่อตามทางรถไฟ เพื่อที่จะไป สวนป่าไผ่ (Bamboo Groves) เราเปิด Google Map ดูไปด้วยกับอาศัย เดินตามคนไปด้วยนะ เดิน 10 นาที จากสถานี Saga Arashiyama


สวนป่าไผ่ (Bamboo Groves)

สวนป่าไผ่ (Bamboo Groves) เป็นเส้นทางเดินเล็กๆ ที่ตัดผ่านในกลางสวนป่าไผ่สามารถเดินเล่นได้ชิลๆ ถ้าเป้นคนที่ชื่นชอบวิธีชีวิตเรียบง่าย และยังชอบเดินเล่นท่าม กลางบรรยากาศป่าๆ บอกเลยว่าไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาด เพราะที่ป่าแห่งนี้จะเป็นป่าไผ่ที่มีไผ่หลายร้อยต้นรายล้อมเราไปจนสุดสุดลูกหูลูกตากันเลยนะ


วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple)

วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple) หรือ วัดทอง ซึ่งเป็นวัดยอดฮิตอีกวัดหนึ่งในเมืองเกียวโต ด้วยความมีเอกลักษณ์ของ วัดที่ไม่เหมือนใคร สองชั้นบนเป็นสีทอง มีสระน้ำขนาดใหญ่ติดกับวัด และยังได้นำไปเป็น แบบปราสาทในการ์ตูน เรื่องอิคคิวซัง เลยทำให้นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวกัน เพราะอยากจะมาชื่นชมความสวยงาม และถ่ายรูปที่วัดนี้ เนื่องจากที่วัดนี้จะมีอาคารหลักเป็นสีทอง เกือบทั้งหลังตั้งโดดเด่นอยู่กลางน้ำจึงเรียกกันติดปากว่าวัดทองนั่นเอง

ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 400 เยน
เวลาเปิด - ปิด : 9:00 - 17:00 น.

วิธีเดินทาง :
1. เดินทางโดยรถบัสรถบัสสาย 12, 59 ลงที่ป้าย Kinkakuji-mae เดินต่ออีก 3 นาที
2. นั่งรถบัสสาย 101, 205 ลงที่ป้าย Kinkakuji-michi เดินต่ออีก 5-10 นาที
3. ถ้าไม่มีเวลามาก แล้วมากัน 4-5 คน แนะนำแท็กซี่ไปเลยนะ


ของกินเล่น

ลองโมจิชาเขียวย่าง ราดด้วยซอสถั่วแดงกวน นุ่มๆ ส่วนถั่งแดงหวานกำลังดี ไม้ละ 300 เยน ทาโกะยากิสไตล์เกียวโต ซึ่งมาในน้ำซุปเลยร้อนๆ หอมๆ อร่อยมากดีนะ ถ้วยละ 400 เยน

เที่ยงๆ เรามารอรถไฟใต้ดินเพื่อเดินทางไปศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) เราเดินทางโดยรถไฟสาย Keihan Main แล้วนั่งไปลงที่สถานี Fushimi Inari


ร้านอาหาร Nezameya

ก่อนการเข้าไปเที่ยวที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ เราก็แวะกินข้าวหน้าปลาไหลกันก่อนชื่อร้าน Nezameya หาไม่ยาก เลย เพราะหน้าร้านจะมีการย่างปลาไหลให้เราดูด้วย มาถูกแน่นอน ซึ่งเราสั่งมาแบบชุดมีทั้งข้าวหน้าปลาไหลกับซุปอุด้ง ในราคา 1,860 เยน


ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (FUSHIMI INARI SHRINE)

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) หรือคนไทยชอบเรียกกันว่า ศาลเจ้าแดง หรือ ศาลเจ้าจิ้งจอก เพราะเทพอินาริมักจะมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย (บ้างที่ก็บอกว่าท่านชอบแปลงร่างเป็นจิ้งจอก) เราเลยเห็นรูปปั้น จิ้งจอก มากมายในนี้นั่นเอง 

ที่นี่จะมีป้ายไม้รูปหน้าสุนัขจิ้งจอกไว้เขียวคำอธิฐานรูป โดยเราสามารถเขียนหน้าตาได้ตามใจอยาก เราก็เขียนไว้ด้วยเหมือนกันนะ 

นอกจากนั้นที่นี่ยังมีชื่อเสียงโด่งดังจาก ประตูโทริอิ (Torii Gate) หรือเสาประตูสีแดง ที่เรียงตัวกันข้างหลังศาลเจ้าจำนวนหลายพันต้น จนเป็นทางเดินได้ทั่วทั้งภูเขาอินารินั่นเอง

เสาโทริอิสีแดงนับพันต้นที่เรียงรายเป็นทางยาวของศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) ได้กลายเป็นหนึ่งใน สัญลักษณ์ของเมืองเกียวโต (Kyoto) ไปแล้ว


สถานีรถไฟ Fushimi Inari

เดินกลับไปสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Fushimi Inari เพื่ออจะไป วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) หรือ วัดน้ำใส
ในระหว่างรอรถไฟเราก็พึ่งมาสังเกตว่าตัวสถานีดูเก่าแก่สวยงามซึ่งจะเน้นสีแดงเป็นหลัก ตามแบบของ ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Shrine) นั่นเอง


วัดคิโยะมิซุ (KIYOMIZU-DERA)

วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera) หรือ วัดน้ำใส เป็นวัดที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับจังหวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นวัดที่พูดได้เลยว่าดังที่สุดในญี่ปุ่นก็ไม่ผิดเลยล่ะนะ เนื่องจากการที่วัดมีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงาม จนยูเนสโกได้บันทึกให้วัดแห่งนี้ขึ้นเป็นมรดกโลก

จุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของวัดอาคารไม้ขนาดใหญ่ ที่แค่การสร้างก็น่าทึ่งแล้ว เพราะการสร้างทั้งหมดนี้ ไม่มีการใช้ตะปูใดๆ ทั้งสิ้น ถือว่าเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณ ที่สุดยอดเลยจริงๆ เสาของอาคารมีความสูงถึง 13 เมตรจากพื้นดิน และ โถงอาคารถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอก ทำให้บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นเมืองเกียวโตในฤดูต่างๆ และเป็นจุดชมซากุระและชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย

ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 300 เยน
เวลาเปิด - ปิด : 6:00 - 18:00 น.

วิธีเดินทางโดย :
1. รถไฟ สาย Keihan Railway Line ไปลงที่สถานี Kiyomizu-Gojo เดินอีกประมาณ 20 นาที
2. รถบัส สาย 100, 206 ลงที่ป้าย Gojo-zaka หรือ Kiyomizu-michi เดินประมาณ 10-15 นาที

น่าเสียดายตอนที่ไปตัวอาคารไม้วัดกำลังซ่อมแซมเกือบทั้งหมด ซึ่งน่าจะใช้เวลา 1-2 ปี จึงไม่ค่อยสวยเท่าไร แต่เราก็มาที่วัดนี้หลยครั้งแล้ว เลยเอารูปของปีก่อนๆ มาให้ดูเป็นตัวอย่างกันนะ ซึ่งเราสามารถไปได้ทุกฤดูเลย วิวทิวทัศน์รอบๆ ตัวอาคารไม้แห่งนี้ 


น้ำตกโอโตวะ (Otowa no taki)

น้ำตกโอโตวะ (Otowa no taki) จะอยู่ด้านล่างของของศาลาวัดน้ำใส โดยแต่ละสายจะมีประโยชน์ที่ต่างกัน ได้แก่อายุยืน, ประสบความสำเร็จในการเรียน และ ชีวิตคู่ ชาวญี่ปุ่นมักจะดื่มน้ำทั้ง 3 สาย


ร้านเนื้อ Kyoto Katsu Gyuu

เดินมาเรื่อยๆ เจอร้านเนื้อน่ากิน ชื่อร้านว่า Kyoto Katsu Gyuu (Kyoto Style Beef) เป็นร้านอาหารประเภท Gyu Katsu (牛かつ) หรือ เนื้อวัวชุบแป้งทอดนั่นเอง ซึ่งเราสั่งเมนู BEEF cutlet Zen 160g with Soft boiled edd ไป ราคา 1,580 เยน เนื้อชิ้นกใหญ่พอสมควรเลยนะ ด้านในยังอมชมพูนิดๆ 

ที่นี้มีน้ำซอสที่มา 3 แบบ และวิธีกิน 6 วิธี อร่อยมากกก....กกกก

ทิ้งลิงค์ร้านไว้ให้นะ http://kyoto-katsugyu.com


วันที่ 6 | กลับบ้าน T^T

เป็นวัดสุดท้ายซึ่งเราบินกลับในตอนเช้า ซึ่งเราต้องถึงสนามบินคันไซก่อน 8 โมงเช้า และไม่ได้ถ่ายอะไรไว้ เนื่องจากการตื่นสายของเรา แต่ต้องรีบขึ้นรถไฟไปเช็คอินให้ทัน เรากลับก่อนเพื่อนๆ อีกสามคน เพราะเราจองตั๋วแยกมานั่นเอง 

พอจัดการธุระในสนามบินเสร็จรู้อีกทีก็อยู่บนเครื่องแล้ว คงต้องถึงเวลา ที่ต้องลาจากโอซาก้ากันอีกครั้งแล้ว ใครที่กำลังหาทริปเที่ยวที่ญี่ปุ่น เราก็ขอแนะนำทริปนี้ ซึ่งเราหวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะ 

ของขึ้นชื่อประจำเมือง

ของที่เราแนะนำให้ซื้อไปเป็นของฝากนั่นก็คือ ขนมโบราณต่างๆ เพราะฉลากหรือตัวกล่องของตัวผลิตภัณฑ์มันดูคลาสิกและน่าสนใจดี อาจจะเพราะว่าเราเป็น กราฟิกดีไซน์เนอร์ด้วย ก็เลยมีความสนใจเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก ที่สำคัญบางกล่องบางผลิตภัณฑ์ยัง เป็นของลิมิเต็ท ที่มีขายเฉพาะที่โอกาซ้านี่เท่านั้น บอกเลยว่าเก๋และคลาสิกมากทีเดียวเชียวแหละ

สามารถหาซื้อได้ที่ย่านเก่าอย่าง ชินเซไก (Shinsekai)  

สรุปค่าใช้จ่ายต่อคน

ค่าเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน Hongkong Airline 11,827 บาท
Osaka Amazing Pass แบบ 2 วัน 1,055 บาท
ค่าที่พัก ที่พัก Airbnb 4 คืน 3,800 บาท
ค่าสถานที่ ตั๋ว Universal Studio Japan 2,490 บาท
อื่นๆ ซิม AIS Sim2Fly แบบ 8 วัน 399 บาท
รวมทั้งหมด 19,571 บาท
ค่าเดินทาง
ตั๋วเครื่องบิน Hongkong Airline 11,827 บาท
Osaka Amazing Pass แบบ 2 วัน 1,055 บาท
ค่าที่พัก
ที่พัก Airbnb 4 คืน 3,800 บาท
ค่าสถานที่
ตั๋ว Universal Studio Japan 2,490 บาท
อื่นๆ
ซิม AIS Sim2Fly แบบ 8 วัน 399 บาท
รวมทั้งหมด 19,571 บาท

สรุปตารางท่องเที่ยว