สวัสดีครับ วันนี้จะมาชวนเที่ยวเมืองสวยๆในเเคว้นทัสคานีของอิตาลีครับ โดยเมืองที่จะไปคราวนี้คือ San Gimignano เเละ Siena ครับ
สำหรับการเดินทางไปเที่ยว San Gimignano กับ Siena นั้น ส่วนใหญ่จะใช้การขับรถเที่ยวกันเพราะทัศนียภาพในเเทบทัสคานีนั้นสวยมาก เเต่ผมไม่ได้เช่ารถ เเถมยังขี้เกียจย้ายที่พักบ่อยๆ เลยเลือกที่จะทำเป็น One day trip จาก Florence เเทน โดยการเดินทางของผมจะใช้วิธีการนั่งรถบัสไปครับ ซื่งสถานีรถบัสนั้นอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ Firenze S.M.N.เลยครับ search ว่า SITA Bus Station ก็เจอเลยครับ ตามเเพลนผมเลือกที่จะไปเที่ยวSan Gimignanoก่อน เเล้วค่อยไปSiena เพราะรถจากSiena กลับ Florenceมีรอบเยอะกว่า เผื่อตกรถจะได้ไม่เป็นเรื่องใหญ่ รถบัส Florence-San Gimignanoนั้น ไม่มีวิ่งตรง เราจะต้องไปเปลี่ยนที่Poggibonsi ซึ่งไม่ซับซ้อนเท่าไรเพราะเเค่ลงรถ เเล้วยืนรอตรงป้ายริมถนน สักพักรถที่ไปSan Gimignanoก็มาครับ(ความจริงมีตารางรถ เเต่ตอนผมไปรถวิ่งไม่ตรงตามตารางเลยสักรอบ) ผมออกจากFlorence ราว6.00 ประมาณ7โมงกว่าๆก็มาถึงประตูเมืองSan Gimignanoครับ วิวหน้าประตูเมืองสวยมาก
รถจะมาจอดตรงหน้า Porta San Giovanni ซึ่งเป็นประตูเมืองหลักของSan Gimignanoครับ
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ผมเลยทานมื้อเช้าที่คาเฟ่เล็กๆหน้าประตูเมืองครับ ร้านตกเเต่งง่ายๆ น่ารักดี
สั่งเเซนวิซกับกาเเฟมาทาน อร่อยกว่าที่คิดเเฮะ (เอาจริงๆ ร้านกาเเฟที่อิตาลีที่ผมไปเเวะซ้อทานอร่อยทุกร้านเลยอ่ะ)
เมื่อเดินเข้าประตูเมือง ก็จะเจอถนนหลักของเมืองคือ Via S. Giovanni ซึ่งมีอายุนับพันปีมาเเล้ว ผมไปถึงเช้าจัด เมืองเลยยังไม่มีนักท่องเที่ยวบุก เดินถ่ายรูปเพลินเลย
เอกลักษณ์ของSan Gimignano คือหอคอยขนาดสูงที่มีอยู่มากมายภายในเมืองเล็กๆเมืองนี้ ซึ่งเดิมมีมากถึง70กว่าหอคอย เเต่ปัจจุบันเหลือเพียงสิบกว่าหอครับ
สาเหตุที่เมืองนี้มีหอคอยจำนวนมากนั่นก็เพราะในอดีตเมืองนี้เป็นเส้นทางผ่านของขบวนขนสินค้าเเละเส้นทางเเสวงบุญเชื่อมระหว่าง อังกฤษฝรั่งเศส กับโรม หรือที่เรียกกันว่า Via Francigena แปลว่า "the road that comes from France” ดังนั้นเมืองจึงร่ำรวยจากการค้าขายเเละค่าผ่านทาง จนมีเศรษฐีจำนวนมาก ซึ่งพอมีความมั่งคั่ง ก็ต้องสร้างหอคอยเอาไว้ทั้งป้องกันข้าศึก+เเสดงบารมี โดยมีศูนย์กลางของเมืองเป็น Piazza del Duomo ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์ Collegiate Church of Santa Maria Assunta โบสถ์ประจำเมือง San Gimignano
ใกล้ๆกับโบสถ์ Collegiate Church of Santa Maria Assunta จะมีจตุรัสอีกอันคือ Piazza della Cisterna ซึ่งกลางจตุรัสมีบ่อน้ำโบราณอายุ800ปีตั้งอยู่
โปรเเกรมเเรกของผมคือปีนขึ้นหอคอย Torre Grossa (The Great Tower) ซึ่งเป็นหอคอยที่สูงสุดของเมือง ตั้งอยู่ตรง Palazzo Comunale หรือศาลาว่าการเมืองครับ มาเช้าจัด ต้องมานั่งรอพนักงานขายตั๋วมาเปิดเคาท์เตอร์
ทางขึ้นไม่สำบากครับ เป็นบันไดเหล็กกว้างๆ ไม่ชัน
เริ่มเห็นวิวมุมสูงเเล้ว
พอขึ้นมาด้านบน ผมว่าวิวสวยคุ้มปีนอยู่นะ เมืองสวยดี เเถมได้ฉากหลังเป็นเนินเขาสลับกันของทัสคานี ถ่ายรูปเพลินเลย
หอคอยเเฝดอันนี้สามารถเข้าชมได้ครับ เเต่ผมขี้เกียจขึ้น เพราะอิ่มใจพอเเล้วกับวิวจาก Torre Grossa
มองย้อนไปทางVia S. Giovanni ซึ่งเป็นถนนจาก Porta San Giovanni จะเห็นได้ว่านักท่องเที่ยวเริ่มมากันเเล้ว
เมื่อลงจากหอคอย ตรงฐานหอคอยจะเป็นศาลาว่าการเมืองซึ่งถูกใช้งานมาตั้งแต่ศตวรรษที่13 มีส่วนจัดเเสดงงานศิลปะ สวยดีครับ เเต่ผมดันไปดูที่ Florence เเล้ว เลยเฉยๆ
ออกจากPalazzo Comunale ผมก็เดินเข้าไปชมโบสถ์ Collegiate Church of Santa Maria Assunta ซึ่งมีผลงานภาพFresco สวยๆอยู่ โดยภาพที่มีชื่อเสียงคือCappella di Santa Fina เป็นเรื่องราวของ Santa Fina นักบุญประจำเมืองที่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้ทำทุกขกริยาโดยนอนท่าเดียวบนกระดานแผ่นเดียวอยู่หกปีเพื่อรับรู้ถึงความทุกข์ยากของพระเยซู
ออกมาจากโบสถ์ Collegiate Church of Santa Maria Assunta จะเห็นว่านักท่องเที่ยวเริ่มหนาตา เมืองดูมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะมาก
สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป San Gimignano ยังมีอีกจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูปกันครับ เป็นกำเเพงเมืองเก่าอยู่ในสวนParco della Rocca เดินจากกลางเมืองไปนิดเดียวครับ สภาพจะเป็นสวนมะกอกที่มีกำเเพงเก่าๆ มีบันไดเดินขึ้นไปบนกำเเพง
วิวอาจจะสูจากบนหอคอยไม่ได้ เเต่ก็ถือว่าไม่เเย่นะ
กลับมาที่กลางเมืองอีกครั้ง อีกอย่างที่ขอเเนะนำว่าอย่าพลาดคือกินเจลาโตร้าน Gelateria Dondoli ตรง Piazza Cisterna ซึ่งร้านนี้เค้าได้รางวัลGelato World Champion มาหลายปี
ผมลองเเล้วยอมครับ ของเขาเทพจริง อร่อยเฟ่อ
ขากลับเดินผ่าน คิวยาวมากกกกก โซคดีที่รีบกินเเต่เช้า คนยังไม่เยอะ
จากนั้นก็เดินเล่นครับ เพราะดูเวลาไว้ว่ารถบัสไปSiena จะมาตอน12.50 ซึ่งตลอดทางVia S. Giovanni ไปยัง Porta San Giovanni ล้วนเเต่เป็นร้านขายของที่ระลึก เอาจริงๆราคาโอเคนะ ผมกับพี่ได้ของจุกจิกติดมือไปหลายอย่างเลย
จากนั้นก็มานั่งรถรถบัสของSITA เพื่อเดินทางต่อไปยังSiena ระหว่างทางก็นั่งดูวิวไปพลางๆ (ช่วง ตค วิวไม่ค่อยสวยเเฮะ ดูเเล้งๆ)
รถบัสจาก San Gimignano จะมาจอดที่ Piazza Gramsci ซึ่งอยู่ใกล้ใจกลางเมืองมาก ทำให้สะดวกกว่าเมื่อเทียบกับการเดินทางโดยรถไฟ วึ่งสถานีจะอยู่ห่างไปหลายกิโล จากจุดลงรถ ผมเดินตามถนนซึ่งเป็นตรอกเล็กๆ ให้บรรยากาศขรึมๆ โบราณดี เเต่ไม่น่าวกลัวเพราะมีนักท่องเที่ยวเดินสวนไปมาตลอดเวลา
ตำนานของเมืองSiena นั้นมาจาก Romulus และ Remus สองพี่น้องที่โดนลอยเเพเเละได้รับการเลี้ยงดูจากเเม่หมาป่า จะต่อมาได้กลายเป็นผู้ก่อตั้งกรุงโรม ซึ่งเมื่อหลังจากก่อตั้งกรุงโรมได้เเล้ว สองพี่น้องได้ทะเลาะกันเเละRomulusได้ฆ่าRemus ทำให้ลูกชายทั้งสองของRemus ซึ่งได้เเก่ Senius และ Aschiusต้องหนีจากโรมมาที่Siena โดยช่วงที่หนีมานั้น Senius และ Aschiusได้พาเเม่หมาป่า(aka.ย่า)มาด้วย จึงทำให้Siena มีสัญลักษณ์ประจำเมืองเป็นหมาป่า
สถานที่ไฮไลท์ของSiena ที่คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันดีก็คือ Torre del Mangia หอระฆังประจำเมือง
ตรงฐานของหอระฆังจะเป็นที่ตั้งของPalazzo Pubblico หรือที่ทำการเมืองSiena ซึ่งภายในมีพิพิธภัณฑ์จัดเเสดงภาพFrescoสวยๆเยอะมาก เเต่เวลาผมไม่พอ จึงอดชมไปตามระเบียบ
เเต่ที่ไม่ยอมพลาดคือการขึ้นไปชมวิวมุมสูงของSiena จากTorre del Mangia เพราะอยากเห็นที่มาของเฉดสี Burnt Sienna การขึ้นชม ต้องเข้าไปซื้อตั๋วด้านล่าง เเล้วค่อยๆไต่บันไดขึ้นไปครับ
บันไดเเอบเเคบเเละชัน ไม่เหมาะกับ สว ครับ
มองลงมาจะเห็นPiazza iI Campo ลานประจำเมือง ช่วงผมไปกำลังเททรายเพื่อเตรียมเทศกาลเเข่งม้าประจำปีเลย
พอขึ้นถึงยอดหอคอยก็จะได้เห็นวิวมุมกว้างของเมืองSiena สวยไปคนละเเบบกับ san Gimignano ครับ (ใจผมชอบSan Gimignan มากกว่านิดๆ)
มองไปจะเจอ Basilica Cateriniana San Domenico ใหญ่โต อลังการดีเเท้
เเละที่ขาดไม่ได้คือ Duomo di Siena มหาวิหารที่เป็นสาเหตุให้ผมต้องดั้นด้นมาที่นี่อีกรอบ
เมืองSiena เมื่อมองจากบนหอระฆังถือว่าเป็นเมืองใหญ่ทีเดียว มองไปทางไหนก็เห็นเเต่อาคารเฉดสีอิฐเเดง ดูมีเสน่ห์ดี
Piazza iI Campo ยามบ่าย นักท่องเที่ยวมานั่งเล่นดูคนเยอะมาก ดูมีชีวิตชีวาดีจัง
จากPiazza iI Campo ผมเดินต่อมายัง Duomo di Siena หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ Duomo Santa Maria Assunta มหาวิหารสีขาวดำ ตามสีประจำเมืองSiena ซึ่งที่มาของสีขาวดำนี้มาจากตอนที่ Senius และ Aschius หนีลุงจากโรมมาSiena นั้นคนนึงขี่ม้าที่สวมผ้าคลุมสีขาว ในขณะที่อีกคนขี่ม้าผ้าคลุมดำจึงทำให้สีขาว-ดำกลายเป็นสีประจำเมืองเซียน่า สำหรับตัวมหาวิหารถูกสร้างในสไตล์โกธิค ภายนอกอาจจะอลังการสู้Florence Duomo ไม่ได้ เเต่ขอบอกว่าภายในกินขาดครับ
เมื่อเทียบกับFlorence Duomoที่ภายในตกเเต่งเรียบๆนั้ย Siena Duomoกลับเต็มไปด้วยการประดับตกเเต่งในทุกอณู ซึ่งยืนพื้นด้วยผนังหินอ่อนสีขาวดำ โดยถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นว่าตรงหนือซุ้มโค้ง มีการเเกะสลักรูปหน้าพระสันตะปาปาถึง 172 พระองค์
ใช่ว่าจะจบเพียงเท่านั้น เมื่อก้มมามองที่พื้นจะเห็นลอดลายพื้นหินอ่อนที่เกิดจากการฉลุหินที่สีเเตกต่างกันมาประกอบเป็นภาพเรื่องราวต่างๆ รายละเอียดของพื้นหินนั้นยิบมากๆ ขอคารวะ
ตรงกลางมหาวิหารจะเป็นที่ตั้งของ pulpit หรือธรรมมาศเอาไว้ให้บาทหลวงขึ้นไปนำสวด ซึ่งเเกะสลักจากหินอ่อน อลังการมากครับ
บริเวณเพดานจะเขียนลวดลายเป็นดาวสีทอง มองนานๆนี่ตาลายกันเลยทีเดียว
บริเวณด้านซ้ายของมหาวิหาร จะมีห้องสมุด Piccolomini ที่สร้างโดย Cardinal Francesco Piccolomini เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ Enea Silvio Piccolomini ซึ่งเป็นลุงของ Francesco Piccolomini โดย Enea Silvio Piccolomini นั้นเป็นจากบิช็อปแห่งเมืองเซียน่า ที่ต่อมาได้รับเเต่งตั้งให้เป็นพระสันตะปาปา Pius II
ผนังเเละเพดานรอบๆ Piccolomini Library จะเขียนภาพFresco เล่าเรื่องราวชีวิตของ Pius II นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงหนังสือเก่าแก่ที่ Pius II สะสมไว้อีกด้วย
หลังจากชมมหาวิหารเเล้ว ผมออกมาด้านนอกเพื่อที่จะไปเข้าชมส่วนพิพิธภัณฑ์ ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างของSiena Duomo
ภายในมีผลงานศิลปะจัดเเสดงเยอะอยู่ เเละมีจุดให้ขึ้นไปชมวิวมุมสูงด้วย เเต่ผมขึ้นที่หอระฆังเเล้ว เลยขอบาย
ทางด้านหลังของDuomo จะมี Baptistery of St John ซึ่งมีภาพเขียนFresco สวยๆจัดเเสดงอยู่ครับ ถ้ามีเวลาเเวะมาชมก้ได้ครับ
หลังจากชมไฮไลท์ของSiena จนเต็มอิ่มเเล้ว ก็กลับมาขึ้นรถบัสกลับFlorence ที่Piazza Gramsci เป็นอันจบOne day Trip อันเเสนยาวครับ
ขอจบกระทู้นี้ไว้ที่ คห นี้ครับ กระทู้หน้าจะพาไปเที่ยวเมืองกลางทะเลชื่อดังของอิตาลี นั่นก็คือเวนิสกันครับ