สำหรับคนใช้รถ คนขับรถ พอถึงระยะเวลาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถ 5,000 กม. หรือ 10,000 กม. นี่ช้าไม่ได้ครับ ต้องรีบเข้าศูนย์เข้าอู่กันเลย โดยเฉพาะรถที่เกิน 10 ปีอย่างเจ้าเชฟโรเลต โคโลราโด ของผม ชื่อเล่นว่า เจ้าโด้ เพื่อนลุย
เช้าวันเสาร์เป็นฤกษ์อันดีที่จะเปลี่ยนไส้กรองและน้ำมันเครื่องเสียที หลังจากขับมารอบล่าสุดเกือบ 10,000 กม. ก็ขับมา “อู๋ช่างต๋อย” เจ้าประจำแห่งซอยบ้านกล้วย ย่านบางบัวทอง นนทบุรี ผมถือว่าเป็นอู่ที่ซ่อมดี จริงใจ ไม่มั่วนิ่ม ถึงขั้นดีที่สุดในจังหวัด...ผมยกนิ้วให้เลยนะ
แน่นอนว่าเมื่อรถเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เราก็ต้องรอๆๆๆ และรอ หากมีอะไรชำรุดเพิ่มเติมอีกก็ต้องรอๆๆๆ ไปก่อน ไม่รอช้าครับ! วันนี้ผมพกตัวช่วยมาด้วย ไม่ใช่เก้าอี้หรือเพื่อนนั่งคุยนะ เป็นเจ้าคู่หู่ตัวปั่นเจ้าเดิม “จักรยานทัวร์ริ่ง Araya Federal” ใส่มาหลังรถกระบะด้วย เพื่อปั่นฆ่าเวลารอรถที่จะได้ช่วงเย็นๆ ตั้งเป้าหมายวันนี้ว่าไปกลับสัก 100 กม.
100 กิโลเมตรรรรรรรร...กลางแดดร้อนๆ แม้มันจะเป็นกลางหน้าฝนก็ตาม แต่ใจมันไปแล้วน่ะครับ ตั้งเป้าแล้วก็ต้องไปให้ได้ มองดูนาฬิกาที่ข้อมือตี 10 โมงเช้าพอดิบพอดี บอกลาช่างต๋อยพร้อมกับนัดหมายรับรถตอนเย็นประมาณ 4 โมง กะคร่าวๆ ว่าวันนี้จะไปเที่ยว “ตลาดบางหลวง อ.บางเลน จ.นครปฐม”
ด้วยความที่บางบัวทองอยู่ใกล้กับเขต อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ดังนั้นการปั่นไปแถวนั้นสบายมาก ผมเองก็ปั่นอยู่บ่อย แต่การปั่นถึง 100 กม. ไปถึง อ.บางเลน นั้นยอมรับว่าไปไม่บ่อยเลย ยิ่งอากาศแดดเผาแบบนี้ตัดกำลังดีนัก แต่ไม่เป็นไรไปช้าๆ ใจสู้ซะอย่าง
ผมเริ่มปั่นจากซอยบ้านกล้วย ผ่านวิวสองข้างทางที่เป็นทุ่งนา เขียวบ้าง เหลืองบ้าง เกี่ยวหมดแล้วบ้าง คราวนี้เจอรถกำลังเกี่ยวข้าวอยู่ข้างทาง ดูแล้วก็รวดเร็วสะดวกดีครับ เข้าไปถามเขาว่าคิดเงินยังไง? เขาตอบมาว่า “ต่าเช่ารถวันละ 1,000” มิน่าล่ะเดี๋ยวนี้ใครๆ ก็นิยมใช้รถแบบนี้ เพราะทีเดียวจบ ส่วนภาพการช่วยกันลงแขกเกี่ยวข้าวคงหาดูได้ยากมาก จะมีก็แต่จังหวัดไกลๆ อย่างร้อยเอ็ดหรือยโสธรที่ยังคงแบบนี้อยู่ โชคดีที่กลับไปที่ไรก็ยังเห็นอยู่ทุกครั้ง
จากบ้านกล้วย ปั่นทะลุมานครชัยศรีพักนึง ร่างกายต้องการสปอนเซอร์ ไม่ใช่ผู้สนับสนุนนะครับ แต่เป็นน้ำเกลื่อแร่ (จะฮาไปไหนเนี่ย) เดี๋ยวนี้ตามข้างทางที่เหมือนกันดาร แต่ร้านขายของชำนี่หาได้ง่ายๆ ครับ เขาจะขายทุกอย่างเท่าที่ชุมชนนั้นต้องการ รวมถึงปั๊มน้ำมันหลอดที่ต้องมี ราคาจะแพงกว่าตลาดทั่วไปราวลิตรละ 2 – 3 บาท แต่เมื่อเทียบแล้วก็คุ้มกว่าการที่ชาวบ้านจะวิ่งไปเติมปั๊มข้างนอกใหญ่ๆ ครับ เพราะไปกลับบางทีก็ไกลกว่า 30 กม. เลย
ทุกวันนี้จักรยานกับร้านค้าไม่ใช่คนแปลกหน้า แต่เป็นลูกค้าที่ดีครับ อุดหนุนซื้อน้ำตลอดๆ พื้นที่แบบนี้แหละครับที่ 7-11 เข้าไม่ถึง 555 ปั่นผ่านตลาดน้ำลำพญายอดฮิตของคนแถวนี้ แต่วันนี้ขอไม่เข้าไปนะ เพราะปั่นมาบ่อยแล้วจริงๆ เหลือบมองไมล์จักรยานระบุว่าปั่นมาได้ 25 กม. แล้ว มองดูหลักกิโลเมตรบอกทางบางหลวงอีก 20 กม. อย่างก็มาครึ่งของครึ่งทางแล้ว กำลังจะเร่งความเร็วมากขึ้น แต่ตามก็ดันไปเห็นป้าย “หม่อมไฉไล - ที่พักเรือโบราณ” เลยอดที่จะเลี้ยวจักรยานเข้าไปไม่ได้จริงๆ
ผมรู้จักชื่อนี้ผ่านทางตัวหนังสือมานาน มีโอกาสเลยขอเข้าไปสักหน่อย บรรยากาศโดยรวมก็ดูเงียบๆ ครับ ดูแล้วจะรับเป็นกลุ่มสัมมนาพอสมควร แต่ก็มีแขกมาพักอยู่บ้าง แต่ที่โดดเด่นจริงๆ คงเป็นที่พักทรงเรือโบราณขนาดใหญ่ ถือว่าเป็น Gimmick ของที่นี่เลย กับทอดมันที่ใครๆ ก็บอกอร่อย เสียดายเวลาน้อย คราวหน้าต้องมาชิมให้ได้
เป้าหมายอีก 25 กม. จะถึงตลาดบางหลวง เส้นทางปั่นสบาย แต่บางทีก็เงียบเหงาเกินไป แต่ก็เพลินๆ ดีครับ ดูชีวิต ตึกรามบ้านช่อง ร้านค้าสองข้างทางไปเรื่อย และทำให้รู้ว่าโรงงานไทยชูรสตราชฎาอยู่ก่อนถึงตลาดไม่ถึง 10 กม. (ใครยังจำยี่ห้อนี้ได้บ้าง?) สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายตลาดบางหลวงตอนเที่ยงร้อนๆ เพราะอาทิตย์ตรงหัวพอดี
เป็นธรรมเนียมของนักปั่นครับ ไปถึงแล้วต้องหาอะไรถ่ายคู่กับเจ้าจักรยานคันเก่งหน่อย มองซ้ายมองขวาเห็นรถสองแถวบางหลวงเลยจัดซะหน่อย จักรยานช้าๆ กับรถสองแถวเก่าๆ ดูเข้ากันดีครับ จากนั้นไปชมวิวริมแม่น้ำท่าจีน กับบรรยากาศตลาดไม้ห้องแถวคลาสสิกๆ อายุเหยียบ 100 ปี เรื่องคมแฝกอันโด่งดังก็ใช้ที่นี่เป็นฉากนะครับ โดยรวมตลาดที่นี่จะเงียบๆ คึกคักเฉพาะช่วงเช้าในวันเสาร์ - อาทิตย์ ส่วนใหญ่จะขายของกินครับ แต่ที่พลาดไม่ได้เลยคือ “ขนมชุนเปี๊ยะ ร้านปิงใฮ้ฮวด” เจ้าแรกแห่งตลาดบางหลวง เป็นขนมโบราณคล้ายๆ ปอเปี๊ยะ แต่ไม่ใส่เนื้อสัตว์เลย ใส่แต่ผักและวุ้นเส้น รสชาติกรุบกรอบ อร่อยมาก ราคาชุดละ 20 บาทเอง ใครกินเจจัดได้เลยนะครับ ชัวร์ 100%
ส่วนร้านอื่นที่ทำขนมนี้ก็มีเยอะครับ รสชาติก็แตกต่างกันไป เอาเป็นว่าชอบแบบไหนก็กินกันได้เลย แต่แนะนำให้ไปกินเจ้าแรกก่อน 555 แล้วค่อยไปนั่งกินอาหารร้านอื่นต่อก็ได้ครับ เดินแป๊บๆ ก็หมดตลาดแล้วเพราะมีแค่ 3 ซอย ถือว่ากะทัดรัดและประหยัดเวลาดี แต่ตรงแพริมน้ำมีให้ร้องคารโอเกะฟรีด้วยนะ ใครอยากฝึกลูกคอก็เชิญได้เลย
นั่งพักอยู่ราวชั่วโมงก็พร้อมปั่นกลับครับ แวะไหว้ศาลเจ้าแม่ทับทิมซึ่งเป็นที่สักการะของคนที่นี่ เพื่อสร้างกำลังใจก่อนลุยอีก 50 กม. ตอนบ่ายยามแดดร้อนเช่นนี้ ผมเลยเน้นปั่นช้า พักทุก 30 นาทีเพื่อไม่ให้ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่มากไป เดี๋ยวตะคริวจะถามหา จากปั่นจะเปลี่ยนเป็นจูงซะก่อน เสียฟอร์มหมด
ในที่สุด Mission Complete ตอน 4 โมงเย็น ถึงอู่รถที่หมายจนได้ หอบนิดหน่อย แต่มีความสุขและได้คุยกับตัวเองดีครับ เฉลี่ยความเร็วตลอดวัน 100 โลคือ 20 กม./ชม.
--จะกี่สิบหรือกี่ร้อยกิโล...แค่ปั่นตามจังหวะตัวเองก็มีความสุขที่สุดแล้วครับ