สวัสดีครับ วันนี้จะมารีวิวร้านอาหารที่เชียงใหม่ครับ โดยในกระทู้นี้จะเน้นร้านที่ขายอาหารเป็นคอร์ส (ซึ่งเปิดกันเยอะมากกกกก)ที่เชียงใหม่นะครับ
CUISINE DE GARDEN
เริ่มร้านเเรกกันที่ Cuisine de Garden ร้านอาหารที่นำเอารูปแบบการทำอาหารสไตล์ Molecular Gastronomy มาผสมกับอาหารท้องถิ่น ออกมาเป็นคอร์สอาหารที่เเปลกใหม่จนเป็นที่โด่งดัง ตัวร้านตกเเต่งเเบบเรียบง่าย ไม่ได้หรูหราจนรู้สึกเกร็ง
คอร์สจะเริ่มต้นด้วยsphere ส้ม เสิร์ฟมาบนช้อน รสชาติกลางๆครับ สดชื่นดี
ถัดมาจะเป็นเหมือนเครกเกอร์กุ้งเสิร์ฟพร้อมตะไคร้ ผักชีลาว กินเเล้วเหมือนเมี่ยง รสเเปลก เเต่อร่อยดีครับ
ตัวนี้จะเป็น Buffalo Tartare หรือเอาง่ายๆคือลาบความเสิร์ฟพร้อมกับไข่ดิบซูวีด์ เเละใบชะมวง จานนี้สำหรับผมมันฮาร์ตคอร์ไปหน่อย เลยไม่ค่อยชอบเท่าไรครับ
จานนี้เป็นปาเตตับไก่เสิร์ฟพร้อมกับพีชที่มาทั้งรูปเเบบเป็นชิ้น เจลลี่ เเละเม็ดน้ำเเข็ง จานนี้อร่อยครับ เเถมหน้าตาดี๊ ดี
ตามมาด้วยจานSignature ของร้านนี้ The Nest คือไข่ออนเซ็นเสิร์ฟมาบนหมีกรอบที่ทำเป็นรูปรังนก เวลาทานก็เทไข่ลงไปคลุกกะเส้น รสชาติอร่อยครับ เหมือนกินหมีกรอบกะไข่ลวก รสชาติไม่หวือหวา คาดเดาได้ เเต่presentation น่ารักครับ
จานซุปของคอร์สจะเป็นซุปใสใส่ผักอะไรสักอย่าง(จำไม่ได้) ภายในซุปมีเหมือนหมูยอด้วย ตัวซุปมีรสชาติเฝื่อนๆ น่าจะมาจากรสเฉพาะตัวของผัก เลยไม่ค่อยโดนเท่าไรครับ
ตัวนี้จะเป็นรีซอตโตใส่รากบัวเเละเเครกเกอร์แองโชวีครับ รสชาติเฉยๆ ไม่ดีไม่เเย่ครับ
จานMain จะมีให้เลือก3เเบบครับ อันเเรกจะเป็นหมึกย่างคลุมด้วยเเหไข่ผสมชาโคลด์ จานนี้ผมไม่ชอบ เพราะเเอบคาวปลาหมึก เเละตอนเสิร์ฟ มันไม่ร้อน เลยรู้สึกว่าไม่ค่อยอร่อยเท่าไรครับ
อีกจานคือปลากระพงย่างกับแครกเกอร์หัวปลี เสิร์ฟพร้อมซอสโฟม ตัวนี้อร่อยครับ เเครกเกอร์หัวปลีกรอบๆตัดกับเนื้อปลานุ่มๆดี
อีกตัวเลือกคือน่องไก่กับข้าวเหนียว ตัวนี้ก็อร่อยเช่นกันครับ เพียงเเต่รสชาติมันคาดเดาได้ไปหน่อย
ตัวของหวานจะเป็นวุ้นกะทิ กับข้าวเหนียวขนุนครับ อร่อยเเบบทั่วไปที่มาในรูปร่างที่เเปลกตาขึ้นครับ
ปิดท้ายด้วยชอคโกแลตที่เสิร์ฟมาในกองหินครับ เลือกดีๆว่าชินไหนหินจริง ชิ้นไหนชอคโกเเลต ถือว่าเป็นการปิดท้ายมื้อที่เก๋ไก๋ได้อยู่ครับ
สรุป Cuisine de Garden ในความคิดผมเป็นร้านที่มาทานเพื่อเอาประสบการณ์มากกว่ารสชาติเเฮะ หลายจานที่ดูรู้เลยว่ากรรมวิธีซับซ้อน เเต่ผมต้องยอมรับว่าหลายๆจากรสชาติผมไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยรวมถือว่าเป็นประสบการณ์ที่เเปลกใหม่ดีครับ เเต่คนที่อยากมาลองอาจจะต้องเปิดใจกับรสชาตินิดนึงครับ
BOMBAY HUT
ร้านอาหารสไตล์ British India โดยเชฟช้าง ตัวร้านมีขนาดไม่ใหญ่มาก เเต่การตกเเต่งเป็นเอกลักษณ์สุดๆ เข้าไปเเล้วเหมือนอีกโลกนึงเลยครับ
จานเเรกที่เสิร์ฟจะเป็นChicken Liver Pate ตับไก่ทานคู่กับขนมปัง ตัวขนมปังจะใช้ขนมปังกระเทียม พอทานกับตับไก่เเล้วเข้ากันมาก ไม่รู้ลึกเลี่ยนเลย หรือจะเปลี่ยนมาทานกับเเครกเกอร์ก็เข้ากัน เเค่จานเปิดผมก็ปลื้มเเล้ว
จานต่อมาเป็นซุปครีมเห็ด ตัวซุปกลมกล่อม มีtexture ให้ได้เคี้ยวบ้าง เเถมมีกลิ่นหอมนมเนย อร่อยอีกเเล้วครับ
เอาซุปทานคู่กับขนมปังปิ้งคือดีงาม
จานถัดมาเป็นเคบับไก่ทานคู่กันกับผัก ตัวเนื้อไก่นุ่ม หอมกลิ่นเครื่องเทศ ทานคู่กับผักเข้ากันดีครับ เอาจริงๆผมว่าน้ำจิ้มไม่ต้องมีก็ได้ เเต่คงเผื่อไว้สำหรับคนชอบรสจัด
จานถัดมาเป็นสลัดครับ ตัวนี้ธรรมดาครับ คืออร่อยนะ เเต่มันคือสลัดทั่วไป
จากMain ของผมเป็นเหมือนเเป้งนานยัดไส้ด้วยหมูครับ กินเเล้วเหมือนซาละเปาเเฮะ อร่อยดี เเต่ชิ้นเล็กไปนิด
ปิดท้ายด้วยพุดดิ้งชาเขียวครับ อร่อย หอมกลิ่นชาเขียวอ่อนๆ ปิดมื้อได้ประทับใจครับ
สรุป Bombay Hut เป็นร้านที่เรารู้เลยว่าเชฟเเม่นจริงเรื่องรสชาติอาหาร ทุกจานอร่อยหมด บางทีดูสไตล์อาหารไม่น่าจะเข้ากัน หรือทานต่อกันได้ เเต่พอเอาเข้าจริงเเล้ว มันสมูท เเละอร่อยต่อเนื่องดีเเฮะ เชียร์ให้มาลองกันครับร้านนี้
PEACE LOVE JOY
Peace Love Joy ร้านอาหารที่เปิดรับวันละ1โต๊ะ เเละต้องจองล่วงหน้าไปเท่านั้น ตัวร้านจะอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ บรรยากาศดีมาก เหมาะที่จะไปพักช่วงหน้าหนาว(ร้านเปิดให้พักใน airbnbด้วยครับ)
สถานที่ทาน ก็จะทานในห้องที่เชฟทำอาหารเลยครับ เรียกได้ว่าดูเชฟทำไป ทานไป chef table ที่เเท้ทรู
เปิดมื้อด้วยsorbet รสส้ม ล้างปาก เพิ่มความสดชื่นครับ
จากเเรกจะเป็นSummer Salad ที่มี Zucchini ส้ม เเละถั่วพิสตาชิโอครับ ทานเเล้วเบาๆ สดชื่นๆ อร่อยดีครับ
จานที่2 จะเป็นRavioliไส้หมูทอด ทานกับซอสพลัม ตัวนี้อร่อยครับ เหมือนทานเกี๊ยวกรอบกับน้ำจิ้มไก่
จานที่3 เป็นปลา Rainbow Trout เสิร์ฟพร้อมกับซัลซ่า Gooseberry เเละ Micro Tomato จานนี้อร่อยครับ รับรู้ได้ถึงความสดของปลาเเละผักที่นำมาให้ครับ มีความหวานติดปลายลิ้นนิดๆดีครับ
จานที่ 4เป็นไก่อบทั้งตัวทานคู่กับซุปครีมเห็ดทรัพเฟิล (ความจริงมีเพสท์น้ำเต้าด้วยเเต่ลืมถ่ายมาครับ) ตัวไก่ใช้ไก่บ้าน เนื้อเเน่น อบเเล้วหนังกรอบ ทานคู่กับซุปเห็ดเเละButternuts Paste อร่อยโฮกกกกกกกก
เชฟกลัวไม่อิ่มเลยเตรียมพาสต้าซีฟูดกับซอสมะเขือเทศเอาไว้ด้วย ตัวเส้นพาสต้าเป็นเเบบHandmade เลย เเต่เนื่องจากผมไม่ค่อยชอบพาสต้าเส้นเเบบนี้ เลยเฉยๆกับจานนี้ครับ
ของหวานจะเป็นChampange Jelly ตอนเสิร์ฟมา นึกว่าให้ดื่ม พอดูใกล้ๆจึงเห็นว่าเป็นวุ้น รสชาติก็เป็นแชมเปญเเหละครับ เเต่presentation ได้เเปลกดี เเถมช่วยล้างปากเพราะได้ความหวานสดชื่นจากผลไม้ครับ
สรุป Peace Love Joy เป็นร้านที่ออกเเนวเหมือนมาทานอาหารบ้านเพื่อนที่เขาชอบทานอาหารครับ เวลาเสิร์ฟเเต่ละเมนู เชฟจะเล่าถึงที่มาของวัตถุดิบเเล้วทำให้เราอินไปกับอาหารจานนั้นๆมากขึ้น โดยรวมคืไม่ผิดหวังครับ
PUNPON FARM
ปันผลฟาร์มเป็นร้านอาหารที่มีคอนเซปว่าจะเป็นอาหารที่ทำจากวัตถุดิบออร์เเกนิค ผักที่มาทำจะปลูกเองเป็นหลัก ตัวร้านตั้งอยู่ริมน้ำเเม่กวง ลักษณะเป็นร้านoutdoor เเต่งโต๊ะได้เก๋ไก๋สไตล์ pinterest มาก
นอกจากอาหารยังมีBarด้วยครับ
เปิดมื้อด้วยcocktail ซึ่งถือว่าทำได้โอเคครับ ทานง่าย เป็นมิตรกับทั้ง ชายเเละหญิงครับ
จากเเรกจะเป็นออร์เดิร์ฟเมือง ซึ่งประกอบไปด้วยขนมปังกระเทียม หมูทอดมะเเขว่น ไส้อั่ว เห็ดนึ่งน้ำพริกเผา เเละผักนึงน้ำพริกอ่อง ดูเเล้วล้วนเเต่เป็นอาหารที่ทานง่าย อร่อยง่าย เเต่ตอนที่เสิร์ฟมา ทุกอย่างกลับเย็นชืด เหมือนทำไว้นานเเล้วรสชาติเลยดรอปลงไปเยอะ
ถัดมาเป็นไข่ตุ๋นปูอ่องกับคาร์เวียส้ม ตัวนี้เหมือนจานเเรกเลยครับ เสิร์ฟมาเเบบมันเย็นชืดเเล้ว ทั้งที่ตัวไข่ตุ๋นจริงๆรสชาติไม่เเย่ เเต่พอเสิร์ฟมาเเบบนี้ เลยเซ็งๆครับ
จานสลัดจะเป็นยำส้มโอ ส้ม สตอเบอรี่ กับข้าวเเต๋นเลม่อนครัม จานนี้โอเคครับ อร่อย ทานง่ายดี
เจี๋ยวผักกาดหน้อยใส่ไข่ รสชาติเหมือนไข่น้ำ ตัวผักหวาน ไม่ขม ซุปกลมกล่อมดี เเต่มีปัญหาเดิมคือเสิร์ฟมาในอุณหภูมิห้อง(เอาจริงๆเริ่มสงสัยว่าหรือเขาตั้งใจเสิร์ฟเเบบนี้)
จานMain เป็นฉู่ฉี่ปลานิลกับข้าวไรซ์เบอร์รี่ จานนี้อร่อยครับ
ปิดท้ายด้วยไอติมกะทิกับจาวมะพร้าวเเละมะพร้าวกวน จานนี้อร่อยครับทั้งไอติมทั้งจาวมะพร้าว ทั้งมะพร้าวกวนtextureเเตกต่างเเต่ทานเข้ากันดีครับชอบๆ
สรุป ปันผลฟาร์มเป็นร้านที่concept ดีนะ เหมาะกะกระเเสhealty เเละกระเเสอาหารท้องถิ่นประยุกต์ดี เเต่ข้อเสียคือการบริหารจัดการยังไม่โอเคครับ ตั้งเเต่การที่ต้องให้ลูกค้าตามเครื่องดื่ม 3รอบ ทั้งเรื่องการเสิร์ฟอาหารที่เหมือนทำรอไว้จนเย็น(อย่างน้อยอุ่นสักนิดก็ยังดี) เเละตัวพนักงานเหมือนยังไม่ได้รับการเทรนเท่าไร ตอนผมไปผมถามว่าร้านเปิดถึงกี่โมง พนักงานเเจ้งว่า3ทุ่ม เเต่พอสองทุ่มนิดๆ พนักงานกลับไล่เก็บโต๊ะโดยรอบ เดินมาขอคิดเงิน เเละมานั่งเรียงกันมองโต๊ะผมจนผมต้องยอมออกจากร้าน ซึ่งผมว่ากับการที่ร้านตั้งใจจะทำอาหารขายเป็นคอร์ส การบริการควรดีกว่านี้ครับ
ปล.ตอนหลัง เจ้าของได้ชี้เเจงเเละขอโทษเรื่องการบริการที่ติดขัดไปบ้าง ถือว่าร้านมีความรับผิดชอบดีครับ