EP 01 : Hidden Place สุข สงบ…เขาโด่ สุโขทัย (ตอนที่ 02) #WeekendRiderThailand

วันที่เขียน 29/10/2018
ยอดเข้าชม

17

EP 01 : Hidden Place สุข สงบ…เขาโด่ สุโขทัย (ตอนที่ 02) #WeekendRiderThailand

วันที่เขียน

29/10/2018

ยอดเข้าชม

17

เขียนโดย Nuim Navigator

แชมป์รายการแฟนพันธุ์แท้ ท่องเที่ยวไทย (Workpoint) / พิธีกรเที่ยวสบายสไตล์ชุมชน / Podcaster

จากเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ชาวบ้านจึงร่วมมือกันสร้าง “ศาลพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิตฯ” เพื่อรำลึกถึงสิ่งที่ๆ ที่ท่านได้ทุ่มเทกับบ้านแม่สานแห่งนี้...และทำให้ผมได้รู้เรื่องราวดีๆ แม้จะผ่านไปเกือบ 50 ปีแล้วก็ตาม

อารมณ์ชิลล์ของผมถูกทำลายด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่น พร้อมกับพี่โรจน์เดินมาบอกว่า “รีบกางเต็นท์ก่อนเถอะหนุ่ม เดี๋ยวฟ้ามืดและฝนจะตกเสียก่อน...ส่วนอาหารเดี๋ยวพี่จัดการให้เอง” อย่างไม่รอช้าผมกับคู่หู่รีบจัดแจงกางเต็นท์ที่สนามหญ้าอย่างรวดเร็ว และโยนถุงนอนเข้าไปเตรียมพร้อมทันที

จากนั้นพวกเราเดินไปยังกองฟืนใหญ่ ติดลำธารน้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา พี่โรจน์กับเพื่อนกำลังปิ้งหมูป่าย่าง...ใช่แล้วครับ อาหารสุดยอดของที่นี่คือ “หมูป่าย่าง” เวลาจะเฉลิมฉลองหรือแขกไปใครมาก็จะต้อนรับกันด้วยเมนูแนวๆ นี้ ชาวบ้านจะหมักหมูป่าด้วยสูตรเฉพาะของชาวปกาเกอะญอ แล้วก็ค่อยๆ ย่างกันทั้งตัวด้วยไฟอ่อนๆ เพื่อให้กินได้ทั้งคืน ซึ่งจุดประสงค์ที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องของการกินเพื่อเอาอิ่ม แต่เป็นกุศโลบายเวลาชาวปกาเกอะญอเข้าป่า และต้องผลัดกันเฝ้ายามเวลากลางคืน กองไฟที่ติดไว้ก็ป้องกันสัตว์ป่าเข้ามารบกวน ส่วนหมูป่าย่างนี้มีไว้ก็เพื่อให้คนเฝ้ายามได้มีอะไรทำ ที่สำคัญจะได้ไม่หิวและไม่เหงาด้วย

ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องดังมาอีกครั้ง พี่โรจน์ก็คาดการณ์ได้ว่า…อีกไม่นานพวกเราคงไม่รอดฝนตกในคืนนี้ จึงช่วยกันรีบจัดแจงยกอุปกรณ์การทำอาหารเข้าเพิงเล็กๆ ที่มีหลังคา ของกินทุกอย่างถูกลำเลียงเข้ามาเป็นที่เรียบร้อย ช่างพอดีกับฝนที่ถล่มลงมาพอดี

แต่...กลับ…ลืม…ไป…ว่า…

…รถมอเตอร์ไซค์ทั้ง 5 คันจอดอยู่บนพื้นดิน แถมเป็นดินเลน ขืนปล่อยไว้รับรองรถได้ล้มลงและไหลลงลำธารนี้แน่นอน พวกเราจึงต้องรีบวิ่งฝ่าฝนไปเข็นรถของตัวเองเพื่อมาจอดบนพื้นปูนในศาลาอเนกประสงค์ ทุกคนก็เข็นมาได้ไม่ยากนัก แต่รถของคู่หูผม ER6N หนักเกือบ 230 กก. เข็นคนเดียวไม่ไหวแน่ๆ เราสองคนจึงช่วยกันเข็นฝ่าฝนจนเข้ามาได้ แต่ภารกิจก็ยังไม่เสร็จดี เพราะเราต้องลากเต็นท์ออกมาจากสนามหญ้าที่กำลังน้ำท่วม เข้ามาอยู่ในศาลานี้ให้เร็วที่สุด สรุปว่าหัวค่ำนี้พวกเราทุกคนเปียกปอนกัน 100% ไม่ต้องอาบน้ำกันเลย (ฮา)

แอบขายของกันอีกนิดนึง...งานนี้เรายัดทุกอย่างลงกล่องหลัง GIVI ของทุกอย่างที่สำคัญจึงไม่เปียกฝนแม้แต่นิดเดียว

แน่นอนว่ามื้อเย็นเรายังไม่เสร็จสิ้น พี่โรจน์ยังคงย่างหมูป่าต่อไป ส่วนเพื่อนๆ ในทีมก็หุงข้าวและทำเมนูเด็ดขึ้นมาอีกหนี่งนั่นคือ “ต้มยำปลานวลจันทร์” บอกได้อย่างไม่อายเลยว่า...เป็นครั้งแรกที่เคยกิน และสรุปได้สั้นๆ อีกครั้งว่าอร่อยมากกกก เนื้อปลาสีขาวแน่นๆ ไม่เละ รสชาติละมุนเข้ากับเครื่องต้มยำได้อย่างลงตัว

พี่โรจน์เล่าให้ฟังว่า ปลานวลจันทร์แถบนี้มีเยอะมาก กิโลไม่กี่สิบบาท แต่ถ้าเข้ากรุงเทพกิโลเป็นร้อยและหายากหน่อย เพราะเขาจะอยู่ตามแหล่งน้ำธรรมชาติที่สะอาดและอาหารอุดมสมบูรณ์ เมื่อจับขึ้นมาได้จะนำมาทำอาหารเลย เพราะปลาชนิดนี้จะคงความสดได้ไม่นาน

หัวค่ำนี้พวกเราจึงนั่งฟังเรื่องป่าเขาลำเนาไพรท่ามกลางเสียงฝนตกพรำๆ พร้อมกับจิบกาแฟไปพลางๆ พร้อมกับกองไฟที่ช่วยกันเติมฟืนกันเรื่อยๆ พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันสบายๆ จนฝนเริ่มหยุดราวๆ 3 ทุ่ม เริ่มง่วงกันแล้ว และมุ่งหน้าเข้าเต็นท์ประจำการณ์ของตัวเอง...คืนนี้นอนกันทั้งเปียกๆ แบบนี้แหละ ดิบๆ ดี

จริงๆ แล้วบ้านแม่สานมีน้ำและไฟพร้อมสรรพ แต่เพราะกลางคืนฝนตก ไฟจึงดับกันทั้งหมู่บ้านและทั้งคืน และทุกครั้งการซ่อมแซมไฟฟ้าก็ไม่ได้รวดเร็วแบบชั่วโมงเดียวเสร็จ แต่พวกเราโชคดีที่เพียงกลางคืน ไฟฟ้าทั้งหมู่บ้านก็กลับมาใช้ได้เหมือนเดิม

เช้าตรู่วันถัดมาราวๆ เกือบ 6 โมง ผมรีบมุดออกมาจากเต็นท์ เพื่อขี่ PCX ฉายเดี่ยวร่อนเบาๆ รอบหมู่บ้าน เพื่อดูวิถีชีวิตของชาวบ้านปกาเกอะญอ สงสัยว่าจะออกเช้าไปหน่อย เจอแต่พระบิณฑบาตท่ามกลางหมอกลอยคลุ้งเบาๆ ตัดกับฉากหลังภูเขาเขียวๆ อย่างสวยงาม

ประมาณ 30 นาทีผมขี่กลับมาที่จุด Camping อีกครั้ง คู่หูโจ้ พี่โรจน์ และพรรคพวกทุกคน ตื่นนอนกันเรียบร้อย กำลังเตรียมมื้อเช้าง่ายๆ กันอยู่ อย่งเช่นผักสดๆ น้ำพริกสูตรเด็ด ไข่เจียวหอมๆ และที่ลืมไม่ได้เลยคือ...หมูป่าย่างตั้งแต่เมื่อคืนที่ยังไม่หมด

แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือ “กาแฟกระบอกไม้ไผ่” แค่เราเอากาแฟ 3 in 1 ธรรมดา ใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่ที่ตัดเป็นแก้วไว้ และเทน้ำร้อนตามลงไป คนให้เข้ากัน เพียงเท่านี้เราก็จะได้กาแฟที่หอมกรุ่นจากเนื้อไม้ไผ่ และรสชาติก็จะอร่อยกว่าชงใส่แก้วธรรมดา...ถ้าใครเคยไปเที่ยวบ้านต้นจั่นและขึ้นไปจุดชมวิวห้วยต้นไฮ พี่โรจน์แกจัดให้แน่นอน

เสียดายว่าวันนี้เราสองคนต้องกลับกรุงเทพฯ แล้ว จึงไม่มีเวลาพอที่จะไปเดินป่าเที่ยวต่อกับพี่โรจน์ พรรคพวกและเพื่อนๆ ที่ตามมาจากสุโขทัย จริงๆ เราเองก็อยากอยู่ต่ออีกสักคืน แต่ตามประสาชาวออฟฟิศแบบ Weekend Rider ก็ต้องกลับไปทำงาน ไว้คราวหน้าทำวันลาไว้เยอะๆ จะอยู่ให้ครบอาทิตย์เลย ดังนั้นโปรแกรมของพี่โรจน์วันนี้ แกจึงคุยให้ผมฟังเพื่อกระตุ้นความอยากว่า

...เริ่มจากการ Sightseeing ในหมู่บ้านแม่สาน ซึ่งทุกคนมีนามสกุลเดียวกันนั่นคือ “ค้างคีรี” ซึ่งเป็นสิ่งที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 พระราชทานให้ รวมถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอย่าง “ต้นตะเคียนขนาด 7 คนโอบ ” วิวทุ่งนาขั้นบันไดที่งดงาม มิตรภาพระหว่างชาวนากับควายที่พึ่งพาเหมือนเพื่อนกันตลอดเวลา แถมยังมี “ถ้ำศักดิ์สิทธิ์” ที่ชาวบ้านเคารพนับถือเป็นอย่างมาก และลุยต่อไปเล่น้ำตกเย็นๆ ที่ “น้ำตกแม่สาน” สร้างความเฟรชให้เต็มที่กับร่างกาย ก่อนเดินลุยขึ้นเขาไปที่ “ยอดเขาโด่” ซึ่งวันนี้พี่โรจน์จะเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้ขึ้นไปบนยอดเขานี้…

พอฟังจบแล้ว เราสองคนได้แต่ทำตาละห้อย อยากไปสุดๆ แต่ก็ต้องไว้คราวหน้าจริงๆ ถึงจะเที่ยวได้อย่างคุ้มค่ากับ Hidden Place ของเมืองไทย ที่ยังคงไปด้วยวิถีเรียบง่ายของชาวเผ่าปกาเกอะญอ และอยู่ท่ามกลางป่าเขาอย่างพอเพียงตามรอยในหลวง รัชกาลที่ 9 ทำการเกษตรแบบไม่เบียดเบียนธรรมชาติ และมีความสุขจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงทุกวันนี้

นาฬิกาตีเข็ม 8 โมงตรง พวกเราทุกคนยืนตรงเคารพธงชาติ และจ่ายค่า Camping จำนวน 1,000 บาท (รวมทุกอย่างแล้วจริงๆ 2 คน) โบกมือร่ำลำพี่โรจน์และมิตรภาพดีๆ ของชาวปกาเกอะญอที่…สุขและสงบ…พร้อมเก็บความประทับใจ 2 วัน 1 คืนกลับไป และรับรองว่าพวกเราต้องกลับมาอีกแน่นอน

ขากลับเราสองคนอีกใช้เส้นทางที่เร็วกว่า นั่นคือวิ่งผ่านตัวอำเภอศรีสัชนาลัย มุ่งตรงเข้าสู่พิษณุโลก เพื่อเข้านครสวรรค์และถนนสายเอเชีย ช่วงจังหวัดสิงห์บุรีเราหยุดพักนานนิดนึง เพราะฝนตกหนักมาก จากนั้นก็ลุยกันยาวๆ ต่อจนถึงนนทบุรีในเวลาประมาณ 18.30 น. รวมเส้นทางขากลับประมาณ 480 กม.

ผมและโจ้แปะมือกัน แล้วไว้เจอกันใหม่ทริปหน้านะเพื่อน...และทุกๆ คน

สรุปค่าใช้จ่าย EP 01 : Hidden Place สุข สงบ…เขาโด่ สุโขทัย

ค่าน้ำมันขาไป - นนทบุรี (2 คัน) 618 บาท

ค่าอาหารเช้า เล็กต้มเลือดหมู - สิงห์บุรี 120 บาท

ค่าอาหารกลางวัน ข้าวหน้าไก่ย่าง 5 ดาว ในปั๊ม ปตท. พรหมพิราม - พิษณุโลก 300 บาท

ค่าน้ำมันกลางทาง - อุตรดิตถ์ (PCX 1 คัน) 150 บาท

ค่า Camping + อาหารมื้อเย็นและมื้อเช้า - สุโขทัย (2 คน) 1,000 บาท

ค่าน้ำมันขากลับ - สุโขทัย (2 คัน) 200 บาท

ค่าน้ำมันก่อนเข้าบ้าน - นนทบุรี (2 คัน) 380 บาท

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 2,768 บาท สรุปคนละ 1,384 บาท / 2 วัน

ขอขอบคุณผู้สนับสนุนและเพื่อนร่วมเดินทางทุกคน :

• บริษัท Y.S.S. (ประเทศไทย) จำกัด และน้องๆ ทีมงานทุกคน : สำหรับรถ Honda PCX 150cc ที่โมดิฟายโช๊คอัพให้ใหม่ อัพเกรดกลายเป็น G – Sport รุ่นท็อป ขับสบายๆ ตลอด 1,000 กม.

• พี่กำพล GT Autobike & GIVI Thailand : ที่ให้กล่องหลัง GIVI ใบใหญ่ที่ใช้งานได้แบบทุกสถานการณ์ พร้อมหมวกกันน็อควินเทจอีกใบ

• พี่โรจน์ บ้านไร่ชายเขา แห่งบ้านนาต้นจั่น : กับน้ำใจงามๆ ที่มีให้น้องคนนี้เสมอมา

• อ้อ - กฤษฎาพร ศรีสังวรณ์ เจ้าของเพจตามรอยลุง : เพื่อนร่วมทางบิดขากลับกับเรื่องเล่าสนุกๆ ที่มีคนตามเพจเป็นหมื่นๆ และขอบคุณภาพบางส่วนที่ช่วยมาลงในรีวิวนี้

• Banleng Namkorn และจีรภัทร นาจรัส Admin เพจ Chech in ศรีสัชนาลัย : ทีมงานถ่ายทำคุณภาพที่ทำได้เก่งทุกๆ แบบชั้นเซียน และขอบคุณภาพบางส่วนที่ช่วยมาลงในรีวิวนี้

• ผู้ร่วมทางและผู้ดูแล นามสกุลค้างคีรี ทุกคน

• Prissana Phonhoem : เพื่อนร่มทางแม้ได้เจอแค่แป๊บเดียว แต่ก็ขอบคุณสำหรับคำอวยพร

• พี่พล สตูดิโอแสงและเงา : ที่ให้ยืมกล้อง Canon และขาตั้งกล้องไปถ่ายตลอดทริป

• พี่ป๋อง ZUJIPULI : ที่ให้ (สมุด) Notebook สุดเท่และปกกันน้ำได้ ทำได้ผมจดบันทึกเรื่องราวได้ขนาดนี้

• ไอ้วิทย์ เพื่อน ม.ปลาย หอวัง : ไม่ได้เจอกันเกือบ 20 ปี มาเจอกันกลางถนนแถวปทุมซะงั้น...ขอบใจเพื่อนที่บี๊บแตรเรียก ดีใจที่ได้เจอกันนะ

• แพน เพื่อนหอวัง / 13 : ครีมกันแดด ELITE ใช้ได้ดีกับไบค์เกอร์จริงๆ นะ

• ไอ้กล้วย ไอ้โปร และทีม Twenty Four Motion เพื่อนหอวัง : Teaser ตัดได้แนวมาก...กูชอบ

• และทุกๆ คนระหว่างทางตลอดไปกลับราว 1,000 กม. แล้วพวกเราอาจได้เจอกันอีกครั้งหนึ่ง

สิ่งที่เราอยากแนะนำ