• สายการบิน
  • ประสบการณ์ที่คุณจะได้รับ
  • เตรียมตัวก่อนเดินทาง
  • รีวิวท่องเที่ยว
7 วัน 6 คืน

รีวิว โอซาก้าจ๋า คนบ้ามาแล้ว

วันที่เขียน 01/10/2020
ยอดเข้าชม

418

รีวิว โอซาก้าจ๋า คนบ้ามาแล้ว

วันที่เขียน

01/10/2020

ยอดเข้าชม

418

#Osaka #Nara

เรียบเรียงโดย PinTrip

ไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยว.. ของคนรุ่นใหม่

สายการบิน

Airlines

  • Vietnam Airlines
    Vietnam Airlines
    BKK
    19:35
    SGN
    21:15
  • Vietnam Airlines
    Vietnam Airlines
    SGN
    00:30
    KIX
    07:20
  • Vietnam Airlines
    Vietnam Airlines
    KIX
    10:30
    HAN
    13:05
  • Vietnam Airlines
    Vietnam Airlines
    HAN
    16:05
    BKK
    18:05

เตรียมตัวก่อนเดินทาง

ตั๋วเครื่องบิน

สนามบินของโอซาก้าคือ Kansai International Airport ตอนนี้มีเครื่องบินหลายสายมากที่ไปลงทั้งแบบบินตรงและแบบต้องต่อเครื่อง สำหรับทริปนี้ เราไปกับ Vietnam Airlines ค่ะ

Vietnam Airlines เป็นสายการบิน Full Service อาหารอร่อย โหลดกระเป๋าฟรี เลือกที่นั่งฟรี มีจอมีผ้าห่ม แต่จะต้องไปต่อเครื่องที่เวียดนาม โดยสามารถเลือกได้ว่าจะไปต่อที่ฮานอยหรือโฮจิมินห์ ใครมีเวลาว่างเยอะสามารถออกมาเที่ยวได้ค่ะ 

สำหรับบางคนที่ชอบบินทีเดียวถึงเลย ไม่อยากเสียเวลาเยอะก็อาจจะไม่เหมาะ แต่เราคิดว่าอยากลงมายืดเส้นยืดสายและแวะดูสนามบินเวียดนามนิดหน่อยเลยจองมา แถมราคาถูกกว่าบินตรงด้วย รวมราคาไปกลับ 9,669.75 บาท ต่อคน

ครั้งนี้เราจองผ่าน Expedia ไป เพราะดูแล้วราคาถูกกว่าจองตรงกับสายการบิน และส่วนตัวคิดว่าใครที่ไม่คล่องภาษาก็ควรจองผ่าน agency เพราะบางทีเรามีเรื่องติดต่ออะไร เราจะได้คุยรู้เรื่อง


การแลกเงิน

เราใช้แอพ MeChange ในการเช็คเรทเงิน มันจะบอกเลยว่าแต่ละที่วันนี้เรทเท่าไหร่ ทริปนี้เราทยอยแลกไป โดยแลกที่ Pentor และ Super Rich ค่ะ หากไปแลกที่สนามบิน ให้แลกตรงโซนแอร์พอร์ตลิงค์ จะได้เรทที่พอๆ กันข้างนอกเลย

ปัญหายอดฮิตอย่างหนึ่งคือ แล้วค่าเงินตอนนี้ถือว่าถูกหรือแพง

วิธีง่ายๆ ให้ดูกราฟย้อนหลังเปรียบเทียบค่ะ เช่น https://th.exchange-rates.org/history/THB/JPY/G/180 จะเป็นกราฟย้อนหลัง 180 วัน เราก็จะเห็นเทรนด์คร่าวๆแล้วว่าช่วงนี้ถูกหรือแพง


ซื้อตั๋วล่วงหน้า

  • Universal Studio 1 Day เราซื้อรวมส่วนลดได้ใบละ 2,074 บาท
  • Express Pass 4 - Cool Japan 2018 เราซื้อรวมส่วนลดได้ใบละ 1,742 บาท
  • Limited Express rapid (ตั๋วรถไฟไปสนามบิน) ขาเดียว ใบละ 335 บาท
  • Osaka Amazing Pass (อันนี้ควรซื้อล่วงหน้าจะถูกกว่า แต่ตอนช่วงเราไปของหมดพอดีเลยต้องไปซื้อที่ญี่ปุ่น)

การจองล่วงหน้าเราใช้บริการผ่าน Klook และ KKday ค่ะ แล้วแต่ว่าตั๋วที่ไหนจะถูกกว่ากัน เทียบราคากันได้เลย มีทั้งแอพและเว็ป เลือกได้ตามสะดวก


Osaka Amazing Pass

มีให้เลือก 2 แบบ  คือ แบบ 1 วัน (2,500 เยน) และ 2 วัน (3,300 เยน) โดยนับเป็น "วัน" ที่ติดกัน ไม่ใช่นับเป็นชั่วโมง


สิทธิประโยชน์ของบัตร

1. ขึ้นรถไฟฟ้าที่สัญลักษณ์รูปตัว M ฟรี เอกชนอื่นๆ ฟรีเฉพาะแบบ 1 วัน ส่วนรถไฟของ JR ขึ้นไม่ฟรี
2. ขึ้นรถเมล์ฟรี
3. เข้าสถานที่เที่ยวหรือทำกิจกรรมในโอซาก้าได้ฟรี ประมาณ 35 ที่ เช่น ปราสาทโอซาก้า เป็นต้น
4. มีคูปองส่วนลดที่เที่ยวและร้านอาหาร 

รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.osp.osaka-info.jp/en/
สถานที่ที่เข้าฟรี https://www.osp.osaka-info.jp/en/facility/free


ทริคการจองโรงแรม

ถ้าถามว่าควรจองที่พักแถวไหนดีในโอซาก้า เราคิดว่าตรงไหนก็ได้ค่ะที่ใกล้รถไฟฟ้า ใจกลางเมืองจะอยู่แถวสถานี Namba สะดวกแต่แพงทั้งค่ากินและค่าที่พัก คิดง่ายๆก็เหมือนแถวสยามบ้านเราอ่ะแหละ 

ส่วนเราพักแถว Fuse คือออกมานอกเมืองนิดหน่อย ค่าที่พักก็จะถูกลงและพวกอาหาร local จะไม่ค่อยแพงค่ะ ตอนแรกคิดว่าตั้งไกลจะไม่สะดวก แต่เอาจริงพออยู่ใกล้รถไฟฟ้า อะไรๆ ก็สะดวก 555

สำหรับทริปนี้เราไม่ได้จองโรงแรมเอง เนื่องจากไปพักบ้านคนรู้จัก แต่มีทริคการจองโรงแรมดังนี้ค่ะ
ลอง search ดูโรงแรมที่ชอบก่อนในเว็ปไหนก็ได้ แต่ยังไม่ต้องจอง เก็บราคาไว้ก่อน

  1. เอาโรงแรมนั้นๆ ไป search กับเว็ป https://www.hotelscombined.com คุณจะเห็นราคาเปรียบเทียบระหว่าง agency เจ้าต่างๆ เลือกราคาเป็น Included taxes ให้เรียบร้อย ทีนี้เราก็จะเห็นราคาแล้วว่าควรจองที่ไหนดี
  2. เช็คกับแอพ agency อื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ใน list ของเว็ป เช่น Traveloka ซึ่งจะชอบมีโค๊ดส่วนลด ทำให้ในบางครั้งราคาจะถูกกว่า
  3. หากจองผ่าน agency ดังๆ เช่น Agoda อย่าลืมเช็คส่วนลดจากบัตรเครดิตที่คุณใช้ เพราะมีหลายบัตรมากที่จะลดอีก 6-8%

อินเทอร์เน็ต

เราใช้ Sim2Fly ของ AIS ใช้เน็ตได้ 4GB เป็นเวลา 8 วัน ราคาปกติ 399 บาท แต่เราซื้อผ่าน Shopee ที่ 299 บาท แนะนำให้ซื้อไว้ล่วงหน้า 

รายละเอียดซิม http://www.ais.co.th/roaming/sim2fly

ต้องลงทะเบียนก่อนบินด้วยนะคะ จะไปลงทะเบียนที่ shop หรือที่บูธสนามบินก็ได้ค่ะ (แต่คนจะเยอะนิดนึง)

ใครที่เคยมีซิมอยู่แล้วก็สามารถเติมเงิน 299 เพื่อเปิดแพคได้เหมือนกัน ซิมอันนี้เราว่าดีเลย เล่นเน็ตสะดวกไม่มีหลุดตลอดทั้งทริปของเราค่ะ เรื่องเน็ตนี่ควรมีไว้ อย่าหวังพึ่งแต่ wi-fi ฟรี เพราะค่อนข้างจำเป็นในการใช้ดู maps ดูสายรถไฟได้ค่ะ

ใครที่จะทำตามทริปเรา เน็ตของ Sim2Fly จะใช้ที่เวียดนามไม่ได้นะคะ แต่เราอยู่แต่ในสนามบินก็ใช้เน็ตฟรีของสนามบินเอาค่า


Pocket Wi-Fi

ใครสะดวกเป็นใช้ Pocket Wi-Fi ถูกสุดก็จะอยู่ราวๆ วันละ 100 - 150 บาท ใช้เน็ตได้ไม่จำกัด แต่จะมีข้อเสียคือถ้าเราแชร์กันเยอะๆ แล้วต้องเดินแยกกันบ้างอาจทำให้บางคนไม่ได้เน็ตค่ะ ทริปนี้เราเลยเลือกซื้อซิมคนละอันไปเลย เราเคยใช้ของ Tripizee ตอนไปโอกินาว่า ถูกและดี สามารถรับที่สนามบินได้เลยค่ะ https://www.tripizee.com/th

รีวิวท่องเที่ยว

วันที่ 1 | Bangkok - Ho Chi Minh - Osaka

การเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่โอซาก้า โดยสายการบิน Vietnam Airlines
VN602: Bangkok BKK 7.35 PM > Ho Chi Minh City SGN 9.15 PM
VN320: Ho Chi Minh City SGN 12.30 AM > Osaka KIX 7.20 AM


แล้วก็ถึงวันที่ได้ไปเที่ยว เย่!!!

เครื่องออก 19.35 น. ที่สุวรรณภูมิ เราก็ไปเตรียมตัวล่วงหน้า 3 ชั่วโมง ลงทะเบียนซิมให้เรียบร้อย และเข้าไปหาอะไรรองท้องนิดหน่อย หวังไปรอกินข้าวบนเครื่องเอา เพราะเจ้านี้เสริฟอาหารร้อนด้วย และนี่คือภาพอาหารบนเครื่องของเรา

เนื่องจากเราไม่ทานเนื้อเลยโทรไปขอ Sea Food ล่วงหน้า สามารถ request ผ่าน Expedia ได้เลยค่ะ (02-787-3383) นี่แหละข้อดีของการจองผ่าน agency

ไปญี่ปุ่น งานปลาดิบก็ต้องมาจ้า เป็นแบบ Smoked เค็มๆ อร่อยดี

อาหารปกติที่ไม่ใช่ Sea Food

กินเสร็จแปปๆ ก็ถึง Ho Chi Minh แล้วจร้าา เดินเอานะ ไม่ได้มีงวงมารับ   

เดิมต้องรอต่อเครื่อง 3 ชั่วโมง แถมครั้งนี้ดีเลย์ไปอีก 1 ชั่วโมง แพ้พลังน้ำย่อย เลยต้องไปหาของกินกันสักหน่อย มาเวียดนามทั้งที ต้องแวะกินเฝอสักหน่อย เลยมาลงที่ร้านนี้ ในสนามบิน

เซ็ตนี้ เฝอไก่+น้ำแร่ ราคา 7.5$ สามารถจ่ายเงินบาทไทยได้เลย ประมาณ 250 บาท รู้สึกเฉยๆ ผิดหวังนิดๆ เพราะชอบรสเฝอที่ไทยมากกว่า แต่คนรู้จักบอกเฝอที่เวียดนามจะอร่อยมากกกกกกก สงสัยจะกินผิดร้าน

นี่คือเฟรนช์ฟราย Burger King ราคา 2.5$ ที่หน้ามืดซื้อกันมา

แวะเดินดูของฝากเล็กน้อย ซึ่งไม่ได้อะไรมาเลย น้ำหอมของฝากขวดสวยมีเอกลักษณ์ดี แต่ก็ไม่ได้ซื้อมา

มาหลับหน้า gate สักพัก ก็ได้เวลาเรียกขึ้นเครื่อง

บินกันไปยาวๆ หลับกันไปยาวๆ จนกระทั่งเวลาอาหารตอนราวๆ ตี 5 กินข้าวไม่ตรงเวลาท้องไส้ปั่นป่วน กินแล้วจุกสุด

อาหารแบบ Sea Food

โดยรวมได้อาหารร้อน 4 มื้อต่อขา รสชาติอร่อยเลย ประทับใจในอาหารของสายการบินนี้มาก กินเสร็จก็เช้าแล้วจ้า

ถึงสนามบิน Kansai International Airport แล้ว เราต้องต่อรถไฟ Monorail ไป Main Terminal

คนเต็มไปหมด

ในสนามบินก็มีบูธจัดแสดงเยอะแยะ มีรถแลมโบด้วยนะ

ใครมีอะไรสงสัย หรืออยากซื้อตั๋วอะไร สามารถซื้อได้ที่ information เลย (ยกเว้นพวกตั๋วรถไฟให้ไปซื้อที่ Station) เราแวะไปซื้อ Osaka Amazing Pass ที่นี่


วันที่ 2 | นั่งรถไฟจากสนามบินเข้าเมือง

จากสนามบินให้เดินไปที่ Kansai Airport Station ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่ติดกับสนามบินนั่นเอง วันที่เราไปอากาศราว 18 องศา ข้างนอกหนาวกว่าข้างในห้องแอร์อีก ลมแรงมากเดินตัวสั่นกันเลย

ซึ่งสถานีนี้เป็นของบริษัท Nankai มีทั้ง Counter แลกเงิน และจำหน่ายตั๋วต่างๆ

เราแวะมาซื้อบัตร ICOCA เป็นบัตรเติมเงินคล้ายๆบัตร Rabbit บ้านเรา อันนี้แนะนำให้ซื้อเลย สะดวกมาก 

บัตร ICOCA สามารถใช้ได้ทั้งรถไฟฟ้า รถเมล์ ร้านสะดวกซื้อ ตู้กดน้ำอัตโนมัติ แถมยังเก็บไว้ใช้ที่จังหวัดอื่น เช่น โตเกียวก็ได้ จริงๆ จะซื้อล่วงหน้าก็ได้หรือมาซื้อที่สถานีแบบเราก็ได้ค่ะ ใช้เงินหมดแลกคืนได้ หรือจะเก็บไว้ครั้งต่อไปก็ได้ ซึ่งเราเลือกที่จะเก็บค่ะ

รายละเอียดบัตร ICOCA: https://www.klook.com/th/activity/1754-icoca-ic-card-osaka


ซื้อตั๋ว Nankai Kaiyukan Pass ก่อน ราคา 3,010 เยน (900 บาท) ซึ่งเป็นตั๋วรวมบัตรเข้า Kaiyukan + รถไฟฟ้าทั้งหมดใน Osaka (ยกเว้น JR) + รถ Nankai สาย Airport ภายใน 1 วัน ที่ซื้อตั๋วให้เข้าไปในห้องที่จะอยู่ซ้ายมือของ Ticket office ในรูปที่ 2 ข้างบนค่ะ จริงๆ มันมีหลาย Package มาก ไปที่เมืองอื่นๆ ก็ได้
ลองดูรายละเอียดได้ที่ http://www.kaiyukan.com/language/thai/kaiyu.html


นั่งรถไฟเข้าเมืองกันเถอะ

แปปๆ ก็มาถึงสถานีรถไฟ Namba ซึ่งเป็นสถานีหลักของ Osaka

ป้ายโฆษณาในสถานี มังงะแทรกซึมทุกวงการ


วิธีดูขบวนรถไฟฟ้าในญี่ปุ่น

ก็ง่ายๆ แค่ search Google Maps ตัวอย่างเช่น เราอยู่ Fuse station จะไป Namba ก็พิมพ์มันตรงๆ นี่แหละ (หรือ search เป็นชื่อสถานที่ก็ได้นะ) มันก็จะขึ้นทั้งสาย เวลา ราคา เราสามารถเลือกได้เลยว่าจะออกกี่โมง หรืออยากให้ถึงภายในกี่โมง มันก็จะเสนอ option มาให้ (สายที่มีตัว M บัตร OAP ขึ้นฟรี)

เราจะไปสายไหนก็กดที่สายนั้น มันก็จะขึ้นรายละเอียดขบวนย่อยให้ จากในภาพคือต้องขึ้นสาย Kintetsu - Nara Line สายย่อย Amagasaki ส่วนจะขึ้นที่ gate ไหนให้ดูตามป้ายที่สถานีอีกที และยังมีรายละเอียดว่าเราต้องนั่งกี่ป้าย ต่อสายไหน สะดวกสุดๆ

รถไฟที่ญี่ปุ่นก็คล้ายๆ ของไทย แค่เบาะเป็นผ้า จะมีที่นั่งสำรอง เด็ก / คนชรา / คนพิการ แยกชัดเจน จะมีทั้งแบบที่ตรงหัว-ท้ายของเบาะ กับแยกเป็นเบาะเฉพาะยาวๆที่ต้นขบวนเลย ถ้าคนแก่มายืนตรงที่คนธรรมดาก็ไม่จำเป็นต้องลุกให้เขานั่ง เพราะส่วนมากเขาจะไม่นั่งและบางคนจะไม่ชอบด้วย แต่ถ้าเราดันไปนั่งตรงที่นั่งสำรอง เราต้องรีบลุกโดยด่วน

เราพักแถวสถานี Fuse ไกลจากตัวเมืองประมาณหนึ่ง

เนื่องจากแถวนี้ไกลจากตัวเมืองก็จะมีบ้านเก่าสไตล์ญี่ปุ่นให้เห็นมากมาย


ที่พัก (Apartment ญี่ปุ่น)

ที่ที่เราพักเป็น Apartment เช่าของญี่ปุ่น เราได้มาพักฟรีเลยไม่รู้ว่าปกติเขาเช่ากันเท่าไหร่ ซึ่งถ้าใครอยากได้ Feeling แบบนี้แนะนำให้จอง Airbnb ค่ะ

มีครัวเล็กๆ

ห้องน้ำจะมีแยกโซน 3 โซน ถ้าสมมติเพื่อนอาบน้ำอยู่แล้วเราปวดอึก็สามารถเข้าได้เลยไม่ต้องรอกัน

  • โซนแรกโซนกระจกกับอ่างล้างมือ
  • โซนห้องอาบน้ำ เป็นแบบนั่งอาบและอ่างอาบน้ำเล็กๆ โดยน้ำร้อนที่นี่จะตั้งไว้ 40 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่พอๆ กับออนเซน แรกๆ ก็ร้อนมากกก พอแช่ไปสักพักก็จะเริ่มชิน
  • ส่วนโซนสุดท้ายคือโซนส้วม จะมีอ่างล้างมือข้างบนให้เราล้างมือแล้วน้ำก็จะลงไปให้กดชักโครก คือดี อยากได้มาไว้ที่บ้านมากเลย

สำหรับห้องนอนก็เป็นปูผ้าแบบญี่ปุ่น ตอนกลางวันเอาไว้นั่ง ตอนกลางคืนก็แผ่มานอนเต็มห้องพอดี

ระเบียงเล็กๆ


ร้านซูชิ 100 เยน

หลังจากเข้าที่พักเก็บของกันเรียบร้อย เจ้าของบ้านก็พาไปกินซูชิ 100 เยน แต่เป็นที่ไหนนั้น อันนี้ไม่รู้จริงๆ กำลังงงๆตามเขามา แต่ถ้าถามว่าแนะนำไหมก็เฉยๆ นะ ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ รถที่ญี่ปุ่นที่นิยมใช้กันจะคล้ายๆ Honda Freed บ้านเรา คือเหมือนรถตู้แต่แคบกว่า นั่งได้ 6-7 ที่

ทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่น งงในงง แต่ก็ได้ความว่าอยากกินอันไหนให้หยิบจากสายพานได้เลย แต่ถ้าของที่อยากกินไม่มาซะที ก็ให้สั่งได้ใน Tablet ซึ่งจะมีภาพและภาษาญี่ปุ่น คือถ้าไม่เป็นภาษามาร้านนี้งงแน่นอน

พอกินเสร็จก็หย่อนจากลงรูนี้ มันจะลงไปอ่างล้างจานเลยไม่ต้องใช้คนมาเก็บ อันนี้ชอบ

ทุกๆ 5 จานที่เราหย่อนลงไปเราจะได้ชิงโชคกาชาปอง ตู้จะอยู่บนหัวเรา คือถ้าโชคดีกาชาปองก็จะไหลลงมาให้เรา ถ้าโชคยังไม่ถึงก็อดไป รอสะสมให้ครบ 5 จานใหม่

อันนี้ไปกัน 6 คน กินค่อนข้างเยอะได้มาแค่อันเดียว เป็นเหมือนเหรียญป๊อกแป๊ก 5555

ขาออกที่แคชเชียร์มีสุ่มวันพีช ก็ลองซะหน่อย เสียหายไป 250 เยน (75 บาท)


ไป Kaiyukan กันเถอะ

หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว สถานีต่อไป Kaiyukan หรือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ซึ่งสามารถใช้ Pass ที่ซื้อมาเข้าไปเลยฟรี การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าให้ไปลงที่สถานี Osakako คุณสามารถ Search Google Maps จากที่ที่คุณอยู่ได้เลย เราเริ่มต้นจากสถานี Fuse ต่อรถไฟ 2 สาย ใช้เวลาราว 30 นาทีกว่าจะถึง

นั่งรอรถไฟ

เมื่อมาถึงสถานี Osakako แล้วก็เดินไป Exit3 ตามป้าย Kaiyukan ไป 

แล้วเราจะต้องเดินต่ออีกประมาณ 11 นาที

เดินมาสักพักจะเห็นชิงช้าสวรรค์ Tempozan แสดงว่าใกล้ถึงแล้ว

เดินตรงตามป้าย Kaiyukan ไปเรื่อยๆ จะผ่านห้าง Tempozan Market Place


Milky soft cream

มีเพื่อนบอกว่าร้านไอติมใกล้ๆ ทางเข้าอร่อย ก็เลยมาแวะกินหน่อยอร่อยจริงๆ ได้มา 1 ถ้วย ราคา 270 เยน (80 บาท) ชอบมากอันนี้แนะนำ แต่ต้องกินให้หมดก่อนเข้า Kaiyukan นะ


Osaka Aquarium Kaiyukan

ในที่สุดก็เดินมาถึงสักที ค่าเข้าปกติคนละ 2,300 เยน (690 บาท) แต่เราซื้อ Pass ที่รวมกับบัตรรถไฟมาแล้วเลยไม่ต้องซื้ออีก คำนวนแล้วคุ้มกว่า ที่นี่เปิด 10.00-20.00 น.
รายละเอียดภาษาไทย http://www.kaiyukan.com/language/thai/


โซนโดมกระจกโค้งๆ เหมือนฉลามอยู่บนหัวเรา


โซนน้ำตก


โซนแทงค์ใหญ่ๆ ตรงกลางเป็น Main

ที่มีฉลามวาฬแต่ตัวไม่ใหญ่มาก รู้สึกชอบที่ Okinawa มากกว่า

ดูปลาเสร็จออกมาก็ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตกดินแล้ว อากาศเย็นสบาย เราจึงเดินไปริมแม่น้ำถ่ายรูปเล่น นั่งชมวิวชิวๆกันแถวนี้ต่อ


ห้าง Tempozan

แวะเดินเล่นห้าง Tempozan ใกล้ๆ ก็ไปเจอกับตู้ขายป๊อปคอร์นคิตตี้อัตโนมัติส่งเสียงป๊อปๆๆ อดใจไม่ไหวต้องเข้าไปซื้อสักหน่อย ถุงละ 220 เยน (66 บาท) มีทั้งหมด 3 รส จิ้มมั่วๆไป คิดว่าสีส้มคือรสชีส แต่จริงๆ มันคือคาราเมล อันแรกคือรสเนย และอันสุดท้ายคือรสเค็ม

กระบวนการทำคือเหมือน microwave popcorn ธรรมดา คือมันจะเอาเข้าเวฟให้ เสร็จออกมาถุงน่ารักดีต่อใจ แต่ไม่อร่อยเลย   


วันที่ 3 วันนี้เราจะไป Nara กัน

เช้าวันนี้แวะกินอูด้งร้านแถวที่พักย่าน Fuse สุ่มๆเดินเจอเห็นว่าน่ากินดีก็เข้าไปเลย เจ้าของร้านเป็นป้าชาวญี่ปุ่นดุๆหน่อย

ชื่อร้าน 都そば 布施店 : https://goo.gl/maps/EoytMgYT5bk

แต่อาหารก็อร่อยดีนะ

ราคาประมาณ 400 กว่าเยน


ปั่นจักรยานเที่ยว Nara

ตอนแรกลังเลใจจะเที่ยว Nara ยังไงดีนะ จะเดินเอา? หรือจะขึ้นรถเมล์ดีน้า? ต้องซื้อ Pass ไหนไหม? สรุปสุดท้ายปั่นจักรยานเอาแล้วกัน ได้ฟีลญี่ปุ่นดี เราไป Nara ด้วยรถไฟของ Kintetsu เพราะผ่านสถานีบ้านเราพอดี แต่จริงๆ ใครสะดวก JR ก็ไปได้เหมือนกัน

เราลงสถานีปลายทางที่ Kintetsu-Nara [A28] ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ราคา 490 เยน (147 บาท) พอมาถึงสถานีให้ออกประตู 7 เดินมานิดนึงจะเจอตึกเช่าจักรยาน

ทางเข้าจะอยู่ใกล้ๆป้ายรถเมล์อันนี้

ถึงแล้วทางเข้า

อันนี้คือราคาค่าเช่า เช่าได้ตั้งแต่ 9 โมงเช้าและคืนก่อน 1 ทุ่ม เราเช่าเป็นจักรยานไฟฟ้า 1 วันเต็ม ราคา 1,200 เยน (360 บาท)

แนะนำว่าให้เช่าจักรยานไฟฟ้าไปเลย อย่าเช่าจักรยานธรรมดา เพราะมีช่วงปั่นขึ้นเนินขึ้นเขาค่อนข้างเยอะ แล้วจักรยานไฟฟ้าจะช่วยให้มีแรงส่งเวลาขึ้นเขา ไม่งั้นกล้ามปูดแน่ๆ

ได้จักรยานมาแล้ว เจ้าหน้าที่จะเซ็ตทุกอย่างให้เราเรียบร้อยไม่ต้องไปกดอะไรอีก แล้วก็จะสอนการใช้/การล็อคจักรยานเพิ่มนิดหน่อย

สถานที่ที่เราจะปั่นจักรยานไปเที่ยวกันวันนี้มี
1. Kofukuji Temple - ผ่าน Nara Park
2. Todaiji Temple
3. Kasuga Taisha


นำทางโดย Google Maps ตลอดสาย ระหว่างทางก็เจอกวางและอึกวางเป็นระยะ   


Kofukuji Temple

ที่แรกที่เราปั่นจักรยานมากันวันนี้คือวัด Kofukuji ปั่นจักรยานมาแปปเดียวก็ถึงแล้ว

Landmark ของที่นี่คือเจดีย์ไม้สูง 5 ชั้น

เต็มไปด้วยเหล่ากวางผู้หิวโหย เห็นถุงขยะก็จะกิน

มีอะไรไม่รู้ที่ยังสร้างอยู่


Todaiji Temple หรือวัดพระใหญ่

รายละเอียด http://www.todaiji.or.jp/english

จาก Kofukuji ไป Todaiji ถ้าเดินไปก็เกือบ 20 นาที แต่เราปั่นจักรยานไม่ถึง 10 นาทีเอง

ปั่นจักรยานซอกแซกชมเมืองไปเรื่อยๆ

ก็ถึงแล้ววัดพระใหญ่ ซึ่งเป็นสถานที่ยอดฮิตในนาระ เพราะฉะนั้นคนก็จะเยอะมาก

มีป้ายเตือนระวังนุ้งกวางทำร้าย ไม่ใช่อย่าทำร้ายนุ้งกวางนะ เพราะที่นี่ถิ่นกวางโหด   

ซื้อตั๋วเข้าชมกัน ค่าเข้าคนละ 500 เยน (150 บาท)


The Great Buddha Hall (Daibutsu-den)

และนี่คือพระใหญ่ ใหญ่จริงสมชื่อ

ด้านในก็จะมีพระองค์หรือเทพเจ้าอื่นๆอยู่ด้วย

และมีโมเดล Hall ในยุคต่างๆ

เมื่อเดินวนจนใกล้ทางออก จะมีเสาต้นนึงที่มีรูอยู่ ซึ่งมีความเชื่อว่าถ้าสามารถลอดได้จะโชคดี 

Yes! i can did it~

เมื่อออกมาด้านหน้าก็จะเจอพระพุทธรูปที่ใส่ชุดกันฝนอยู่

ตรงข้ามจะมีคล้ายๆ เซียมซีที่ไม่เอาแล้วผูกอยู่


Kasuga Taisha

ตามแพลนเราคือจะไป Kasuga Taisha ซึ่งเป็นศาลเจ้าญี่ปุ่น

แต่พอมาถึงแล้วนั้น ศาลเจ้าเต็มไปหมด ยอมรับเลยว่าไม่รู้ว่าอันไหนคืออะไรแล้ว ก็เอาเป็นว่า คอมเม้นนี้เป็นรีวิวสถานที่ในละแวกนี้แล้วกัน เพราะเราเดินไปทั่วเลย

ทางเข้าร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า


Higashimuki Shopping Street

เราปั่นจักรยานเรื่อยๆ วนรอบเมืองรอบสวน Nara แบบไม่เปิด Maps กันอีกสักพัก มันก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบดี หลังจากนั้นก็วนเอาจักรยานมาคืนที่เดิมแถว Kintetsu Nara Station แล้วเดินต่อประมาณ 5 นาทีไปที่ Higashimuki Shopping Street ซึ่งเราจะมาแวะช็อปและกินข้าวกันที่นี่

ที่นี่ก็เป็นซอยที่มีร้านอาหารและร้านขายของ ไม่ใหญ่มากแต่ก็เดินสนุกดี


มื้อเย็น

เดินเล่นๆ หลงๆ จนมาจบที่ร้านชื่ออะไรยังไม่รู้ อ่านไม่ออก แต่อาหารอร่อย


Tenjinbashisuji ย่าน shopping ที่ยาวที่สุด

วิธีการมาจาก Nara คือนั่งรถไฟมาลงที่ Tenjinbashisuji 6-chome Station ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

ที่นี่มีร้านค้าหลายอย่างมาก ทั้งเสื้อผ้า ของกิน ปาจิงโกะ เราตั้งชื่อเล่นให้แถวนี้ว่าสำเพ็ง เพราะของค่อนข้างถูกเลยแหละ เราไปซื้อเสื้อผ้ามือ 1 ตัวละ 300 เยน (90 บาท) ซื้อสูทลดราคาเหลือ 1,000 เยน (300 บาท) คือฟินนน

Drug Store ของหลุด ร้านนวดก็มี

ของกระจุกกระจิกน่ารักก็มี

ร้านเกมเก่าๆก็มี

ใกล้วันแม่ ร้านดอกไม้ก็จะขายดี

ถนนนี้ยาวมากจริงๆ ยาวจนเดินเมื่อยเลยอ่ะ เดินมาได้ครึ่งทางร้านเริ่มปิดหมดขาก็เริ่มล้า ตัดสินใจกลับดีกว่า


วันที่ 4 | วันแห่งการละลายทรัพย์

วันนี้แพลนของเราคือจะไปชอปปิ้งย่าน Dotonburi-Shinsaibashi (ย่านป้ายกูลิโกะ) แล้วไปขึ้นเรือ Santa Maria รอบพระอาทิตย์ตกดิน แต่!!! พายุดันเข้าฝนดันตกซะงั้น เอาไงต่อกันล่ะทีนี้

เลยต้องออกจากที่พักเลทไป แพลนรวนหมด แต่ก็เอาวะเที่ยวเท่าที่ได้แล้วกัน เริ่มต้นจากหาอะไรกิน มื้อนี้ขอฝากท้องไว้ที่ Family Mart ที่ซึ่งอาหารอร่อย เข้าไปไม่อดตายแน่นอน และนี่เลยแนะนำไก่ทอดอันซ้ายบนจากรูป สุดยอดแห่งความกรอบและฉ่ำ กินแล้วต้องเบิ้ล ราคา 180 เยน (54 บาท)

รองท้องกันนิดหน่อยแล้ว เราก็เดินตะลุยฝนมาหาของกินกันต่อที่ตลาดปลา Kuromon Ichiba Market ซึ่งเป็นตลาดในร่มจึงใช้เป็นที่หลบฝนได้

วิธีการมาคือ ลงสถานี Kintetsu-Nippombashi แล้วเดินต่ออีกนิด หรือจะลง Namba ก็ได้แต่จะเดินไกลกว่า


ที่โอซาก้าเราสามารถหาร้าน 100 เยนได้แทบทุกที่ แม้แต่ในตลาดปลา และเราก็เสียเงินทุกครั้งที่เข้าไปเช่นกัน

มาแวะกันที่ร้านแรก อยากกินอะไรชี้เลยมีบริการปิ้งฟรี มีทั้งซีฟู๊ดและเนื้อ

อันนี้เป็นกระดองปูที่ลองซื้อมา 500 เยน (150 บาท) ตอนแรกคิดว่าเป็นเนื้อปูล้วนๆ ที่ไหนได้เป็นเศษปูมันปูผสมกับเส้นมักกะโรนี แอบผิดหวังเล็กๆ แต่อย่างอื่นพวกเนื้อๆใช้ได้

ไข่หอยเม่นหรือ Uni มีทั้งแบบแกะแล้ว และแกะกันสดๆ

ซูชิตั้งแต่ถูกยันแพง

หรืออยากกินก้ามปูขาโตๆ ก็กำเงินหนาขึ้นหน่อยไปซื้อได้เลย จานแดงที่เห็นแค่ 10,000 เยนเอง (3,000 บาท)

หอยก็มีตั้งหลายแบบ

สั่งให้ย่างสดก็ได้ ปรุงให้อย่างดี สด เนื้อแน่น อร่อยลืมมม

ที่นี่ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นตลาดปลา แต่ก็ไม่ได้มีแค่ปลาหรือของซีฟู๊ดนะ ของอีกอย่างที่เด็ดมากๆ เลยก็คือเนื้อย่าง จะเอากี่เอก็ว่าไปตามจำนวนทรัพย์ที่มี

แพงกว่าขาปูก็เนื้อย่างนี่ล่ะจ้า

มีร้านขายดอกไม้

ร้านขายผลไม้

มีร้านขายกิโมโน

ยากิโซบะ โอโคโนมิยากิ ทาโกะยากิ

อยากกินอะไรเปรี้ยวๆ ก็แวะร้านของแช่อิ่ม

มันเผาร้อนๆจ้า

กินของคาวแล้วมาหาของหวานล้างปากกันหน่อย ดังโงะไหมจ๊ะ

หรือจะหาของฝาก โตเกียวบานานาก็มีนะจ๊ะ ซื้อที่โอซาก้านี่แหละ

พอเริ่มบ่ายคนก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ

เดินๆ ไปก็เจอร้านกาชาปองร้านใหญ่

แถมยังมีแบบ 18+ ด้วยเลยลองสักหน่อย จัดไป 500 เยน (150 บาท)

ได้นมนิ่มๆมา 1 เต้า


ร้านดองกี้ (Don Quijote)

กินอิ่มจากตลาดปลาแล้วประมาณบ่าย 2 เราก็แยกย้ายกับลูกทีมให้ไปช็อปกันตามสไตล์ตัวเอง แล้วเดี๋ยว 4 โมงเย็นมาเจอกันที่ป้ายกูลิโกะ ที่แรกที่เราไปเลยคือร้านดองกี้ (Don Quijote) ซึ่งเป็นร้าน Tax Free ที่มีของหลากหลายมาก ทั้งของกิน ของใช้ ของเสริมสวย

รายละเอียดของร้าน และดูสินค้าล่วงหน้า
http://www.donki-global.com/th 

คูปองส่วนลดร้านดองกี้แบบดิจิตอล https://www.yokosojapanpass.com/donki_fuel/public/coupon/index/0004675

วิธีการไปดองกี้จากตลาดปลา คือการเดินไปประมาณ 10 นาที โดยจะมีป้ายบอกเป็นระยะๆ

พวกของฮิตๆก็จะอยู่ปากประตูทางเข้าเลย เช่น แผ่นแปะแก้ร้อนในอันนี้

ยาสลายติ่งเนื้อ

และยังมีของล้ำๆ อีกเยอะแยะ เช่น แท่งยางลบลบสิวเสี้ยน รูปร่างคล้ายๆ ลิปมัน

เมื่อซื้อเสร็จแล้วอย่าลืมเอาของและใบเสร็จไปรับภาษีด้วยนะคะ จะมีเคาท์เตอร์แยกออกมาอยู่หลังแคชเชียร์

ข้อกำหนดของ Tax Refund คือห้ามกินห้ามใช้ภายในประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นเขาจะซีลถุงไว้ไม่ให้แกะออก 

ดังนั้นพวกของที่ต้องทานเลย เช่น แซนวิช ก็จะโดนแยกออกไปไม่ได้ภาษีคืนค่ะ แต่เอาจริงๆ ที่สนามบินเขาไม่ได้ตรวจของค่ะ เราก็สามารถแกะถุงออกมาเพื่อจัดกระเป๋าก็ได้ ไม่งั้นมันเป็นก้อนๆ กินที่กระเป๋าเยอะมากกกก ส่วนใกล้ๆ เคาท์เตอร์ Tax Free ก็จะมีตู้เสี่ยงโชคราคา 1,000 เยนอยู่ (300 บาท)

ไปลุ้นโชคกัน 3 คน ได้นาฬิกามา 1 อีก 2 คนได้เป็นหูฟังเกรดจีนๆ

สรุป 4 โมงที่นัดกันหน้าป้ายกูลิโกะ ทุกคนก็ยังอยู่ที่ดองกี้จนถึง 5 โมงกว่า เราโดนดูดทรัพย์ไปราว 3 หมื่นกว่าเยน ตีเป็นเงินไทยก็เกือบหมื่นบาทเองหมดตัวแล้วจ้า

แต่ช้าก่อน!!! ร้านดองกี้มีของเยอะหลากหลายก็จริง แต่ใช่ว่าจะเป็นของถูกไปทุกอย่าง เพราะเราจะซื้อครีม Nivea แต่ที่ดองกี้มีไม่พอเลยไปตามหาต่อที่ Matsumoto สรุป Matsumoto ถูกกว่าจ้า แถมยังมี Tax Free และมีส่วนลดด้วยเหมือนกัน แล้วลองถามคนถิ่นดู เขาบอกว่าจริง 

ดองกี้แต่ละสาขาราคาไม่เท่ากันนะคะ สาขา Dotonburi ที่เราไปนี่ตัวแพงเลยเพราะเป็นถิ่นนักท่องเที่ยว ถ้าจะให้ดีควรซื้อที่สาขานอกเมืองออกมาหน่อย สรุปพลาดจ้า

ตัวอย่าง ที่ดองกี้ 248 เยน (74.4 บาท) แต่ที่ Matsumoto แค่ 198 เยน (59.4 เยน) ต่างกัน 15 บาทต่อชิ้น


ถนน Shinsaibashi และ Dotonburi

หลังจากละลายทรัพย์ในดองกี้แล้ว เราก็ไปต่อที่ถนน Shinsaibashi และ Dotonburi กัน ซึ่งก็มาหมดตัวจริงจังกันที่นี่แหละ ฝนก็ยังตกอยู่พรำๆ

ที่นี่ก็มีร้านเยอะแยะ ทั้งเสื้อผ้า ของใช้

แวะซื้อเสื้อผ้าร้าน GU อู้หูชอบมาก ชอบตรงของลดราคามันเนี่ยล่ะ อย่างเช่นเสื้อเชิ๊ตผู้ชายราคา 390 เยน (117 บาท) และยังมี Tax Free อีก สไตล์ก็จะคล้ายๆ ยูนิโคล่ เดินอยู่ในนี้นานมาก ไม่ลดเราไม่ซื้อ

เสื้อผ้ารองเท้าแบรนด์เนมก็เยอะ เราก็ไปจบตรง ABC Mart ได้รองเท้ามาคู่นึง แต่ที่ ABC จะไม่มี Tax Refund นะคะ

มาต่อ ย่าน Dotonbori หรือตรงป้ายกูลิโกะนั่นแหละ ตอนแรกว่าจะมานั่งเรือชมวิว แต่ฝนดันตกแพลนล่มหมด หาของกินแทนแล้วกัน มาโอซาก้าทั้งทีต้องมากินทาโกะยากิ

และจัดด้งปลาดิบซะหน่อย

หลังจากช็อปปิ้งกันขาลาก หน้ามืดตัวปลิวเพราะทรัพย์จางแล้ว เราก็ไปแช่ออนเซนต่อที่ Tennen Onsen Naniwa Hot Spring ซึ่งถ้ามีบัตร Osaka Amazing Pass (OAP) ก็จะเข้าได้ฟรีเลย

วิธีการไปจากสถานี Namba ไปลงที่สถานี Tenjinbashisuji 6-chome Station แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที แล้วจะเจอตึกอันนี้ ให้เดินขึ้นไปชั้น 8 ได้เลย แล้วแสดงบัตร OAP ก็จะเข้าไปได้เลยค่ะ

เขาห้ามเอากล้องเข้าและห้ามถ่ายรูปเลยไม่มีภาพด้านในใดๆ ถ้าไม่ได้เอาผ้าเช็ดตัวมาก็จะมีขายค่ะ ออนเซนที่นี่คือต้องแก้ผ้าทั้งหมดนะคะ ทุกคนก็แก้หมดแบบไม่อาย วิธีการคือ

  1. ถอดเสื้อผ้าและเครื่องประดับให้หมด เก็บใส่ล็อคเกอร์ให้เรียบร้อย
  2. เข้าไปอาบน้ำสระผมให้สะอาด แล้วมัดจุกหรือเอาผ้าขนหนูโพกหัว ห้ามให้ผมต่อบ่อเด็ดขาด
  3. ลงบ่อที่อุณหภูมิน้อยสุดก่อน โดยลงแค่ครึ่งตัวให้ร่างกายได้ปรับตัว สักพักค่อยลงเต็มตัว
  4. เมื่อจะเปลี่ยนบ่อให้ค่อยๆขึ้นจากบ่อ อย่าขึ้นพรวดพราด เดี๋ยวจะหน้ามืด
  5. เมื่อแช่เสร็จ จะอาบน้ำล้างตัวอีกรอบก็ได้ หรือจะไม่อาบก็ได้ บางคนเชื่อว่าปล่อยให้แร่ธาตุซึมเข้าผิว
  6. เช็ดตัวให้แห้งสนิทก่อนเข้าห้องแต่งตัว
  7. แต่งตัวเสร็จจะนั่งจิบนมเย็นก่อนก็ได้


วันที่ 5 | Osaka Amazing Pass (OAP)

วันนี้จะใช้ Osaka Amazing Pass (OAP) ทั้งวัน ซึ่งเป็นบัตรที่เข้าสถานที่สำคัญหลายๆ แห่งได้ฟรี และขึ้นรถไฟฟ้าฟรี
รายละเอียด https://www.jnto.or.th/newsletter/osaka-amazing-pass
สถานที่และกิจกรรมที่เข้าได้ฟรี https://www.osp.osaka-info.jp/en/facility/free


ที่แรกที่เราจะไป Landmark ของ Osaka คือ Osaka Castle นั่นเอง เราขึ้นรถไฟฟ้าลงที่สถานี Tanimachiyonchome Station แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ

วันนี้อากาศสดใสเดินไปได้เรื่อยๆ

อะไรๆก็ดูใหญ่ไปหมด

มาถึงแล้วเรารีบไปจองเรือ Osaka-jo Gozabune Boat เป็นเรือล่องน้ำรอบๆปราสาท ไปถึงแล้วควรไปจองอย่างแรก เพราะไม่งั้นจะได้คิวยาวแล้วรอนาน สำหรับบัตร OAP เข้าฟรี ถ้าจ่ายเองปกติ 1,500 เยน (450 บาท)

เป็นเรือจำลองเรือโบราณที่ให้คนชั้นสูงนั่ง


Osaka Castle

หลังจากนั้นก็ไปปราสาท Osaka กัน จะมีวิธีเข้า 2 แบบคือ เดินเอา เริ่มที่ชั้น 1 แล้วขึ้นบันได กับแบบขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุดแล้วค่อยเดินลงมา ซึ่งเราเลือกเดินเอา เพราะคิวลิฟท์ยาวมาก สำหรับบัตร OAP ก็สามารถยื่นเข้าปราสาทได้ฟรีจ้า

รายละเอียด http://www.osakacastle.net/english

ข้างในก็มีประวัติเกี่ยวกับปราสาทและผู้สร้างมากมาย

มีหมวกให้ลองใส่ได้ เสียเงิน 500 เยน (150 บาท)

มีจอฉายประวัติให้ดู

และมีแบบโฮโลแกรมล้ำๆ ด้วย

วิวจากชั้นบนสุด

หลายๆ ที่เที่ยวของญี่ปุ่นจะมีตัวปั๊มให้ปั๊มเป็นที่ระลึก ถ้าใครมีสมุดสะสมจะฟินมาก

ออกมาข้างนอก

เจอรูที่คนมุงกันเยอะๆ เป็นรูที่เท่ากับความสูงของกำแพงปราสาท คนจะชอบหยอดเหรียญลงไปเพื่อฟังเสียง ซึ่งกว่าเหรียญจะถึงพื้นมันนานมาก เพราะกำแพงสูงมากนั่นเอง

ด้านหน้าปราสาทจะมีตึกชื่อ MIRAIZA ข้างในมีของกินและร้านขายของที่ระลึก

ถึงเวลาก็ไปรอขึ้นเรือ Gozabune เรือจะค่อยๆ ขับวนเป็นตัว U ไปรอบๆ ถ้าเอาชิลก็ชิลอยู่ แต่หลายคนก็หลับเพราะชิลไป

ระหว่างทางก็จะมีเสียงบรรยายประวัติต่างๆ และจะพาไปดูหินรูปหน้าคนตรงกำแพง เห็นกันไหมคะ หินที่เป็นรูปวงกลมตรงกลางอ่ะค่ะ

แล้วเราจะได้เห็นปราสาทในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นฤดูซากุระจะดีมากกก

แวะกินไอติมหยอดเหรียญกันซะหน่อย อันละ 200 เยน (60 บาท) ซึ่งเราว่ามันเฉยๆนะ ไม่ค่อยชอบ

ผ่านสวนสวยๆ สไตล์ญี่ปุ่น


ชิงช้าสวรรค์ Tempozan

จากนั้นเราจะไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ Tempozan กัน บัตร OAP ขึ้นฟรี ซึ่งอยู่แถวๆ Kaiyukan ที่เราไปกันมาแล้วในวันที่ 2 ลงที่สถานี Osakako

สามารถเดินทะลุห้าง Tempozan แล้วทะลุไปชิงช้าสวรรค์ได้เลย คนเยอะมาก

มีกระเช้า 2 แบบ คือแบบพื้นทึบกับแบบพื้นโปร่ง สำหรับแบบพื้นโปร่งมีแค่ 8 ตัวเลยต้องรอนานประมาณ 20 นาที ส่วนเรานั้นขี้เกียจรอขอขึ้นแบบทึบละกัน

วิวจากด้านบน

หลังจากขึ้นชิงช้าสวรรค์เสร็จก็แวะเข้าห้องน้ำกันในห้าง เจอกับร้านขายอาหารปลอมแล้วน่าสนใจดีเลยเก็บภาพมาฝาก และมี Workshop สำหรับผู้ที่สนใจด้วย

มีทั้งเคสและของใช้อื่นๆเป็นลายอาหาร แต่ราคาแรงพอสมควร


ล่องเรือ Santa Maria

จากนั้นก็ไปล่องเรือ Santa Maria กันต่อ โดยใช้บัตร OAP ขึ้นฟรีอีกแล้วครับท่าน ท่าเรือจะอยู่ข้างๆ กับ Kaiyukan เลย เดินตามป้ายไป

เรือจะออกทุกต้นชั่วโมง ต้องมาขึ้นเรือก่อนเวลา รอบนี้เป็นรอบสุดท้าย ไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า

บรรยากาศบนเรือ

ข้างในเรือจะมีคาเฟ่นั่งดูวิวได้ และมีประวัติของเรือ

วิวริมน้ำจากบนเรือ เห็น Universal


หอคอย Tsutenkaku

เราไปต่อกันที่ ย่าน Shinsekai หรือ New Town ซึ่งมี landmark คือหอคอย Tsutenkaku

วิธีการไปให้ไปลงที่ Ebisucho Station ออกประตู 3 ถ้ามาจาก Osakako ต้องต่อรถไฟฟ้า 2 สาย ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง มันก็จะดูอ้อมๆ หน่อย ตามนี้เลยจ้า

โผล่ขึ้นมาจะเป็นย่าน Shinsekai ซึ่งถ้ามาเร็วกว่านี้จะมีร้านขายของเยอะแยะ แต่เรามาเย็นแล้วหลายร้านก็ปิดแล้ว

เดินตรงไปที่หอคอย Tsutenkaku อันนี้เลย บัตร OAP ขึ้นฟรีเฉพาะวันธรรมดาจ้า
รายละเอียดของหอคอยนี้ https://www.tsutenkaku.co.jp/Guide-pdf/mishiran-guide-english.pdf


ทางเข้าจะต้องเดินลงไปชั้นใต้ดินก่อน แล้วค่อยขึ้นลิฟต์ไปชั้นบน มีการตกแต่งลิฟท์ที่สวย

ช่วงที่เราไป Pocky เป็นสปอนเซอร์อยู่ (ไม่แน่ใจว่าเป็นตลอดไหม) เลยมีของเกี่ยวกับ Glico Pocky เต็มไปหมด

ขึ้นไปชั้นบนก็จะเจอมาสคอตของที่นี่ ไม่แน่ใจว่าเป็นเทพเจ้าหรือเปล่า

วิวยามเย็นจากบนหอคอย

มีโซนซื้อของฝากเลยจัด Pretz 9 รสเด็ดจาก 9 จังหวัดมา ทุกวันนี้ยังกินไม่ครบทุกรสเลย

ที่สนามบินก็มีขาย ราคาเท่ากันแต่ไม่ต้องเสีย Tax 8%

มื้อเย็นวันนี้มากินที่ร้าน Yayoiken แถวๆ สถานี Osaka - Uehonmachi มาไกลหน่อยเพราะมาหาเจ้าของที่พัก อาหารที่นี่อร่อยดีเหมือนกัน


วันที่ 6 Universal Studio

วันนี้ตื่นแต่เช้าเพราะต้องไป Universal กัน สิ่งที่เราเตรียมล่วงหน้ามีดังนี้

  • บัตรเข้า ซื้อผ่าน KKday ต้อง print มาล่วงหน้า
  • บัตร Express Pass 4 ของ Universal Cool Japan 2018 ซึ่งจะสามารถเข้าเล่นโคนันได้ด้วย ผ่าน KKday และต้อง print มาด้วย
  • จองเล้าจ์ Flying Dinosaur ล่วงหน้ากับบัตรเครดิต JCB

อย่าลืมเช็คเวลาเปิด-ปิด เพราะแต่ละวันจะเปิดปิดคนละเวลากัน จะได้เตรียมตัวถูก
เช็คเวลาได้ที่นี่ https://www.usj.co.jp/e/parkguide/calendar.html

การเดินทางไป Universal เราต้องไปลงสถานี Universal City ซึ่งเป็นรถของ JR สำหรับเราที่มาจาก Fuse ก็ต้องขึ้นรถ 2 ต่อ ใช้เวลาเกือบ 40 นาที

แค่รถไฟก็ตื่นเต้นแล้วอ่ะ

ลงรถไฟมา โอ้โหคนมหาศาล นี่ขนาดวันธรรมดาและไม่ใช่ช่วง Peak นะ

ระหว่างทางก็จะมีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารเรียงราย แต่เราจะยังไม่แวะใดๆทั้งสิ้น

ใครที่ไม่ได้ซื้อตั๋วล่วงหน้ามา ก็สามารถมาซื้อหน้างานได้ แต่ใครที่อยากได้ตั๋ว Express ควรซื้อมาก่อน เพราะมันจำกัดจำนวนบางทีก็หมดแล้ว

มายืนรอเวลาเปิด วันที่เราไปมันเปิด 9.00 น. เราวางแผนกันว่าเข้าปุ๊บ วิ่งปั๊บเลยนะ!! สำหรับตั๋วกระดาษที่ปริ๊นมา สามารถเอา QR code ติ๊ดกับเครื่องได้เลย ** พยายามอย่าพับตรง QR code ยับ เพราะมันจะสแกนยาก **

พอเปิดปุ๊บก็... วิ่งสิเอ๋.. วิ่งงง!!! เหนื่อยมากกก หอบสุด

สถานีแรกของเราคือ Harry Potter นี่เอง พอวิ่งมาถึงได้ยินเพลงเท่านั้นแหละ น้ำตาจะไหลลล มันแบบโอ้วว นี่คือความทรงจำวัยเด็กของเรา

เดินเข้าป่าไปก็จะเจอรถของรอนอย่างแรก มีคนรอถ่ายรูปเต็มไปหมด เราขอผ่านก่อนละกัน

ถึงซะที Wizarding World


Harry Potter and the Forbidden Journey™

มาถึงปราสาทซะที ในปราสาทนี้จะมีเครื่องเล่นชื่อ Harry Potter and the Forbidden Journey™ อยู่ ซึ่งเป็นเครื่องเล่นแบบ 4D ที่เพิ่งมีการปรับปรุงให้ไม่ต้องใส่แว่นแล้ว เข้าไปคุณก็จะได้เห็นตัวละครใน Harry พูดภาษาญี่ปุ่น ซึ่ง.. ค่อนข้างประหลาด 5555 และฟังไม่รู้เรื่อง พอออกมามึนหัวมาก เพราะเครื่องเล่นเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาตลอด แต่คงน้อยกว่าตอนที่ยังต้องใส่แว่นนะ

รายละเอียดเครื่องเล่น
https://www.usj.co.jp/e/attraction/att_detail/harry-potter-and-the-forbidden-journey.html


Flight of the Hippogriff™

เรามาต่อเครื่องเล่นในโซน Harry อีกอัน คือ Flight of the Hippogriff™ เป็นรถไฟเหาะหัวฮิปโปกริฟ อารมณ์คล้ายๆ รถไฟหนูบ้านเราแหละ เล่นสนุกๆ เอาบรรยากาศ

รายละเอียดเครื่องเล่น https://www.usj.co.jp/e/attraction/att_detail/flight-of-the-hippogriff.html

ระหว่างรอคิวก็จะเจอกระท่อมและรถของแฮกริด

แปปๆ คนเยอะมาก แต่เราเล่นโซน Harry ครบแล้ว สบายใจละ 5555 ไล่ไปโซนอื่นกันต่อดีกว่า

พอตกกลางคืนที่เครื่องเล่นปิดแล้วเราก็แวะกลับมาอีกรอบ สวยไปอีกแบบ

แวะกินบัตเตอร์เบียร์ ตอนกลางคืนไม่ต้องต่อคิวเลย มันจะออกหวานๆ ซ่าๆ มีครีมชีสข้างบนอร่อยมาก ใครมาควรต้องกิน

แวะดูของฝาก

ฮอกวอตตอนกลางคืนก็สวยเช่นกัน


โซน Jaws ฉลามบุก

โซนต่อมาก็เดินไล่เลย ติดๆกันนั้นคือโซน Jaws ฉลามบุกก สู้ชีวิต!!!

รายละเอียดเครื่องเล่น https://www.usj.co.jp/e/attraction/jaws.html

ที่เข้าคิวก็จะเป็นบ้านไม้ พนักงานอินสุดๆ

มีทีวีปูเรื่องให้ดูก่อน ภาพแนวเก่าๆ เหมือนเล่นด้วยเครื่องวิดีโอคลาสเส็ท

เรือเครื่องเล่นเป็นแบบนี้ ใครนั่งฝั่งซ้ายเปียก!!

พอขึ้นเรือไป พนักงานจะเอนเตอร์เทนเราดีมาก ขนาดเราฟังไม่ออกนะ 555

จำลองฉากต่างๆ

ฉลามมาแล้ว กลัวๆๆๆ

ระเบิดจริง ร้อนจริงนะจ๊ะ

และเรานั่งฝั่งซ้าย เห็นชัดๆ และเปียกจริงนะจ๊ะ อิอิ


โซน Jurassic World

ต่อมาก็ไปโซน Jurassic World


Jurassic Park – The Ride™ 

มันก็คือล่องแก่งนั่นแหละ แล้วมีเรื่องราวให้ตื่นเต้นขึ้น อันนี้เสียวและเปียกด้วย ซึ่งเราได้ซื้อเสื้อกันฝนจากร้าน 100 เยนเตรียมไว้แล้ว เลยไม่เปียก อิอิ

รายละเอียด https://www.usj.co.jp/e/attraction/jurassic.html


ในโซนนี้ยังมีอีกเครื่องที่ Hot Hit มากอย่าง The Flying Dinosaur ที่คิวยาวสุดๆ แต่เราได้ทำการจองล่วงหน้าไว้แล้ว แค่...

  1. มีบัตร JCB ของธนาคารอะไรก็ได้ 1 ใบใช้ได้ไม่เกิน 4 คน ต้องระบุจำนวนคนตอนจองเลยและห้ามเปลี่ยน
  2. โทรไปเบอร์ 1800011321 โทรฟรีจากไทย โทรในเวลาทำการจะได้คุยกับคนไทย (แจ้งว่า Thai, Please) แต่ถ้าโทรนอกเวลาทำการจะได้ Speak English กับเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น
  3. แจ้งรายละเอียดบัตร / จำนวนคน / เวลา โดยจะมีทุกๆ ครึ่งชั่วโมง และหยุดพักเที่ยง 12.00-13.00 (เช็คเวลาอีกทีตามลิงค์รายละเอียดด้านล่าง)
  4. รอเมลคอนเฟิร์ม แล้วปริ๊นไปแสดงพร้อมบัตรที่เล้าจ์เลย รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.th.jcb/th/consumers/platinum/usj_lounge


เราก็ไปนั่งชิวๆ รอในเล้าจ์ได้เลย

มีน้ำ มีของว่าง มีหนังสือให้ฟรี

มีรายละเอียดเป็นภาษาไทย

พอถึงเวลาตามที่เราจองจะมีเจ้าหน้าทีพาเราขึ้น "ลิฟท์พิเศษ" ขึ้นตรงไปหน้าเครื่องเล่นเลยไม่ต้องต่อคิวใดๆ ทั้งสิ้น แล้วได้เล่นเครื่องหน้าสุด เบ่งในเบ่งยิ่งกว่า Express Pass ก็ JCB นี่แหละจ้า

เครื่องเล่นนี้สนุกมากกกกกก ชอบมากกกกก อยากเล่นอีกแต่เห็นคิวแล้วท้อแท้ เล่นรอบเดียวก็ได้ฟระ


โซน Minion

มาต่อกันที่โซน Minion!!! โซนยอดฮิตอีกโซนของใครหลายๆ คน เพราะมันน่ารักมากกก

ระหว่างทางก็มีเกมให้เล่น ถ้าชนะจะได้ตุ๊กตามินเนียนไปเลย

ที่นี่จะมีของเล่น 2 อัน แต่ตอนเราไปทำไมเจอแค่อันเดียวก็ไม่รู้ เลยได้เล่นแค่ Despicable Me Minion Mayhem เป็นการจำลองว่าเรากำลังมาสมัครเป็นมินเนียน จะมีเรื่องราว และไปนั่งดูเรื่องแบบ 4D (ไม่ต้องใส่แว่น) คล้ายๆ Harry ใช้เวลาต่อรอบประมาณ 25 นาทีรวมเวลาเล่าเนื้อเรื่อง

สถานที่รอต่อแถวจะเป็นจำลองบ้านของกรู

รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.usj.co.jp/e/attraction/despicable-me-minion-mayhem.html

แหล่งรวมของฝาก มีทั้งของกินและของใช้ ราคาแรงเลยไม่ได้ซื้อสักอย่าง

ถังป๊อปคอร์นที่น่ารักแต่ราคานั้นมิอาจเอื้อม

สำหรับของขนมถ้าจะซื้อฝาก แนะนำซื้อที่ร้าน 100 เยน ก็มีขนมมินเนียนเหมือนกัน ซึ่ง packaging ดีด้วย ตัวอย่างช็อคโกแลตรสกล้วยที่เราซื้อจากร้าน 100 เยน อร่อยเลย


โซน Spider Man

มาต่อกันที่โซน Spider Man คนนอนตากแดดที่สนามหญ้าเยอะมาก

เครื่องเล่นนี้คือ The Amazing Adventures of Spider-Man - The Ride 4K3D ซึ่งเหมือนกับ Transformer ที่สิงคโปร์เลย คือให้นั่งรถไปแล้วก็วนดูเรื่องแบบ 3D มี effect ต่างๆ

รายละเอียด https://www.usj.co.jp/e/attraction/spm.html

เล่นเสร็จก็บังคับเดินผ่านของฝากมากมาย


Hollywood Dream - The Ride

อันนี้เป็นรถไฟเหาะที่มันส์มาก เสียวมาก

รายละเอียดเครื่องเล่น https://www.usj.co.jp/e/attraction/hdr.html


Hollywood Dream -The Ride - Backdrop

เป็นรถไฟเหาะอันเดียวกับข้างบน รางเดียวกัน แต่!! มันอันนี้วิ่งกลับหลัง รอคิวนานกว่าข้างหน้า มันส์พะย่ะค่ะ
รายละเอียดเครื่องเล่น https://www.usj.co.jp/e/attraction/hdr_bk.html


Space Fantasy – The Ride

รถไฟเหาะแบบอวกาศ อันนี้เราพลาดไป ไม่รู้ว่ามันมี T^T ดูวิดีโอแล้วน่าเล่นสุดๆ
รายละเอียดเครื่องเล่น https://www.usj.co.jp/e/attraction/sfr.html


โซนเด็ก 

สำหรับโซนเด็กยังไงเราก็เล่นไม่ได้ เลยไปตอนดึกๆที่เครื่องเล่นปิดแล้ว ไปดูบรรยากาศและถ่ายรูปเอา


Universal Cool Japan 2018 

ในช่วงที่เราไปเป็นช่วง Universal Cool Japan 2018 ก็จะมีเครื่องเล่นเพิ่มอีก 4 เครื่อง ได้แก่

  • Final Fantasy XR Ride เป็นแบบนั่งรถแล้วมีภาพ 3 มิติ คล้ายๆ Spider Man เราว่าสนุกที่สุดใน 4 อันแล้ว
  • Detective Conan : The World อันนี้เป็นเกมสืบสวนเป็นทีมละ 4 คน มี tablet ให้แกะรอยถอดรหัส เหมือนพวกเกม Escape และมีเนื้อเรื่อง มีละครเวทีให้ดู ใช้เวลารอบละประมาณ 2 ชั่วโมง เราเล่นไม่ผ่าน แต่ก็มีคนผ่านนะ
  • Monster Hunter: The Real อันนี้น่าเบื่อสุด เป็นแค่ให้เราสวมบทบาทเป็นตัวละคร ทำท่าต่างๆแล้วจะมีอาวุธออกมาตามท่าที่เราทำ สุดท้ายแค่ถ่ายภาพหมู่แล้วต้องซื้อเพิ่ม ถ้าไม่ซื้อก็ไม่ได้อะไร
  • Pretty Guardian Sailor Moon : The Miracle 4-D เป็นหนัง 4D เกี่ยวกับเซเลอร์มูน ดูไปเพลินๆ สาวกจะชอบมาก ส่วนคนที่ไม่ค่อยชอบหรือเฉยๆก็ถือเป็นเวลานอน 5555

สีสันอีกอย่างของ Cool Japan คือพวกของฝาก ของที่ระลึกที่ถ้าใครเป็นแฟนอยู่แล้ว นี่ก็จะฟินมาก

อันนี้คือหูกระต่ายของโคนันที่เปลี่ยนเสียงได้จริงๆ


วันที่ 7 | บ๊ายบายโอซาก้า

และแล้วก็เป็นวันที่เราต้องกลับสู่โลกความจริงแล้ว เราเลือกกลับไฟลท์ 10.30 และจะถึงไทย 18.05 เพราะวันต่อไปมีทั้งคนติดเรียน และคนประชุมเช้า เนื่องจากมาขออาศัย apartment ฟรี ก็ต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 มาทำความสะอาดห้องคืนให้เรียบร้อย


รถไฟ Nankai Limited Express rapi:t

ขากลับเราจองรถไฟ Nankai Limited Express rapi:t ไป ซึ่งเป็นรถไฟรูปร่างเท่ๆ ได้แรงบันดาลใจมาจากพวกขบวนการ Renger ถึงแม้จะต้องจองล่วงหน้าและราคาแพงกว่ารถไฟปกติ แต่เป็น passion ของเราและเราเป็นคนจัดทริปทุกคนก็ต้องทำตามค่ะ 555 เราจองตั๋วล่วงหน้าผ่าน Klook

รายละเอียดรถไฟ rapi:t https://www.howto-osaka.com/en/rapit/


สถานีต้นทางอยู่ที่สถานี Namba รถไฟมาแล้ว โคตรเท่เลย

เราก็แสดงตั๋วให้พนักงานแล้วเดินไปขึ้นรถไฟ

ที่นั่งจะเป็นการจองล่วงหน้ามาแล้ว ไม่มีคนยืน ที่นั่งนุ่มสบาย สูง 18x ก็มีที่ตรงเข่าเหลือๆ และมีที่เก็บกระเป๋าเดินทางให้ไม่ต้องมาหนีบไว้กับตัว

วิวระหว่างทาง

มาถึงสนามบิน Kansai แล้ว

แวะช็อป Duty Free รอ มีของละลานตาไปหมด ของหลายๆ อย่างที่เราซื้อมาแล้วก็มาเจอที่นี่เหมือนกันแถมยังไม่ต้องเสีย tax อีก แอบเสียดาย

บินจากโอซาก้าไปฮานอย

Japanese Style

Sea Food

ถึงสนามบิน Noi Bai ที่ฮานอย สนามบินใหม่ๆ ใหญ่ๆ แต่โล่งเกิน คนน้อยมาก

เป็นสนามบินแนวยาว ร้าน Duty Free ไม่ค่อยมีอะไร ของถิ่นก็คล้ายๆ ไทย เลยไม่ได้ซื้ออะไรเลย

พวกของ Brand name ก็ไม่ได้ถูกไปกว่าที่ไทยหรือญี่ปุ่น

แล้วเราก็เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ!!!

เครดิต: https://pantip.com/topic/37905186