สวัสดีครับ หลังจากที่ได้พาไปเที่ยว Milan กันเเล้ว คราวนี้จะมาชวนเที่ยวเมืองที่เป็นจุดกำเนิดเเห่งศิลปะยุค Renaissance อย่างเมือง Florence กันครับ
จากมิลาน ผมนั่งรถไฟมายังFlorence ซึ่งรถไฟใช้เวลาเดินทางราวๆ 2 ชม ถือว่าสะดวกเเละเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียวสำหรับนักท่องเที่ยวครับ มาถึงFlorence สายๆ ก็เจอกับผู้คนมากมาย มองไปทางไหนก็เห็นเเต่คนๆๆๆเต็มไปหมด
ตามเเพลน ผมเลือกเข้าที่พักเพื่อเก็บกระเป๋าเเละพักผ่อนกันก่อน โดยที่พักที่ผมจองเป็นอพาทเมนท์โดยจองผ่าน AIRBNB ครับ ตัวห้องพักบตั้งอยู่กับมหาวิหารFlorence เลย สะดวกในการออกมาเที่ยวมาก
ห้องผมอยู่ชั้น 4 กว้าง มีทั้งมุมนั่งเล่น ทานอาหาร ห้องครัว ห้องนอน ครบครันครับ
มีเตาผิงให้ด้วย เเต่อากาศยังไม่หนาวมาก เลยยังไม่ได้ใช้
ห้องครัวเล็ก เเต่อุปกรณ์ครบครับ
ห้องนอน มีช่องเเสงตรงหลังคาซึ่งสามารถมองเห็นยอดโดมได้เลย
ห้องน้ำไม่ใหญ่มาก เเถมตัวกระเบื้องเเอบลื่นไปนิด
สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆของFlorence ก็หนีไม่พ้น Santa Maria del Fiore หรือมหาวิหารFlorence ซึ่งตัววิหารเเบ่งเป็น3 ส่วนคือ
- Baptistery หอทำพิธีศีลจุ่ม
- Duomo มหาวิหาร
- Campanile หอระฆัง
ถ้าเดินมาจากสถานีรถไฟ เราจะพบ Baptisteryเป็นอันเเรก ซึ่งถูกสร้างมาตั้งเเต่ศตวรรษที่ 7 เมื่อสมัยสถาปนาเมืองFlorence จึงถือได้ว่าเป็นอาคารที่เก่าเเก่ที่สุดของ Florence โดยเดิมเคยถูกใช้เป็นวิหารของเมืองด้วย
ในปัจจุบัน สิ่งที่ทำให้Baptisteryเรียกความสนใจได้จากนักท่องเที่ยวมากมาย ก็คงหนีไม่พ้น Gates of Paradise ซึ่งเป็นผลงานของ Lorenzo Ghiberti โดยประตูนี้มีที่มายาวหน่อยคือในยุคหนึ่ง ได้เกิดโรคระบาดขึ้นที่เมืองนี้ ทำให้ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ทางสมาคมผู้ค้าของFlorence จึงได้คิดจะทำประตูใหม่ให้กับBaptistery (บานที่ถ้าเราหันหน้าเข้าGates of Paradise จะอยู่ด้านซ้ายมือ) เพื่อเป็นการบูชาเทพ โดยได้มีการจัดประกวดทำประตูขึ้น โดยท้ายที่สุดผลประกวดสรุปผู้ชนะได้2 คนคือ Ghiberti กับ Filippo Brunelleschi เเต่ Brunelleschi ไม่พอใจคำตัดสิน จึงไม่ทำต่อ Ghiberti จึงได้ทำประตูบานเเรกออกมา จนเป็นที่พึงพอใจกับสมาคมเป็นอย่างมาก ต่อมาสมาคมจึงมอบหมายให้ Ghiberti ทำประตูอีกบาน โดยให้อิสระในการออกแบบเต็มที่ Ghiberti ถึงหมกตัวทำประตูอีกบานขึ้นมา โดยใช้ระยะเวลาการทำถึง 29 ปี จนผลลัพธ์ที่ได้คือ Gates of Paradise บานนี้ครับ
เมื่อเข้าไปใน Baptistery เราจะเห็นการตกเเต่งภายในด้วยโมเสคสีทอง ซึ่งได้อิทธิพล(เเละช่าง)จากทางเวนิสมาทำ โดยภาพใหญ่กลางโดมจะเป็นภาพ The Last Judgement มีพระเยซูอยู่กลาง ขนาบด้วยนรกเเละสวรรค์ โดยมีที่มาจากบทประพันธ์ของDante ซึ่งถ้าใครมีกล้องซูมดีๆ จะเห็นว่ามีการเรียงโมเสคเป็นชายในผ้าคลุมสีดำอยู่ในฝั่งนรก เพื่อเป็นการอุทิศให้Dante ด้วย (Danteจะดีใจดีไหมเนี่ย)
ถัดจาก Baptistery ก็จะเป็นตัวมหาวิหาร ซึ่งเป็นสไตล์ Gothic-Renaissance ตัวอาคารประกอบไปด้วยโทนสีซึ่งมาจากหินอ่อนสามสีจาก 3 เมืองของทัสคานี (สีขาวจากคาร์ราร่า, สีชมพูจากเซียน่า และสีเขียวจากปราโด) ด้านขวาของDuomo จะเป็นที่ตั้งของ Campanile หอระฆังประจำDuomo แห่งนี้
ประตูเข้า Duomo บานกลางมีโมเสกเป็นรูป Christ enthroned with Mary and John the Baptist งานโมเสกละเอียดมากๆ
วันที่ผมไป นักท่องเที่ยวค่อนข้างมาก จึงทำให้คิวรอเข้าชมภายในวิหารยาวมากทีเดียว เเต่เอาจริงๆ ผมยืนดูรายละเอียดตัวอาคารไปเพลินๆ ก็ทำให้ลืมเมื่อยไปได้ครับ
เมื่อเข้าไปในอาคาร จะเห็นได้ว่าการตกเเต่งเรียบ ขัดเเย้งกับภายนอกที่รายละเอียดยุบยั่บไปหมด
เหนือประตูเข้าDuomo จะมีนาฬิกาโบราณของอิตาลี hora italica ตั้งอยู่ครับ
ตรงแท่นบูชาหลัก มีไม้กางเขนผลงานของ Benedetto da Maiano ครับ
สิ่งที่ทำให้ผมยอมรอคิวเข้ามาในDuomo คืออยากมาชมผลงานภาพวาดใต้โดมโดย Giorgio Vasari และ Federico Zuccari ครับ ซึ่งความจริงเราสามารถปีนขึ้นไปชมใกล้ๆได้ เเต่คิวเเต่ละวันมีจำนวนจำกัด วันที่ผมไปคิวเต็มเเล้ว เลยต้องดูห่างๆอย่างนี้เเทน
ส่วนสุดท้ายของมหาวิหารที่ผมไปชมคือ Campanile di Giotto ซึ่งออกแบบโดย Giotto โดยหอระฆังเเห่งนี้สามารถเดินขึ้นไปชมวิวได้ครับ
ตอนเเรกอ่านรีวิวมีเเต่คนบ่นว่าเหนื่อยมาก สูงมาก เเอบเสียวเล็กๆ เเต่เอาเข้าจริงๆ มันมีที่ให้พักเป็นระยะๆครับ
พอขึ้นไปด้านบน วิวสวยดีครับ เห็น Florence มุมสูงทั้งเมืองเลย
สิ่งที่ทำให้ผมยอมดั้นด้นปีนหอระฆังอันนี้คือ อยากเห็นโดมของDuomo ซึงเป็นผลงานการออกแบบ Brunelleschi (คนเดียวกับที่บอยคอตการทำประตู Gates of Paradise) ซึ่งโดมตัวนี้ทางสมาคมการค้าได้จัดประกวดหาผู้ออกแบบ ที่ตลกร้ายคือ ผู้เข้ารอบ 2 คนสุดท้ายคือ Ghiberti กับ Filippo Brunelleschi เเต่คราวนี้ Brunelleschi ล้างเเค้นได้สำเร็จ สามารถชนะ ได้เป็นผู้ออกแบบทั้งหมด โดยการออกแบบโดมนี้ ถือว่าเป็นงานหินมาก ตัว Brunelleschi ได้เดินทางไปRome เพื่อศึกษาการทำ Dome ของวิหาร Pantheon ซึ่งมีโดมขนาดยักษ์ที่สร้างมาตั้งแต่ คศ.ที่ 2 จนท้ายที่สุด Brunelleschi ก็ใช้วิธีการสร้างDome ซ้อนกัน2ชั้น เเละใช้การเรียงอิฐเเบบพิเศษ จนทำให้ได้โดมขนาดมหึมามาจนได้
เทียบสเกลความใหญ่ของDome กับคน จะเห็นได้ว่าDome อลังการมาก
ถัดจากหมู่มหาวิหาร ด้านหลังของDuomo จะมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอยู่อันนึงคือ MUSEO DELL'OPERA DEL DUOMO ซึ่งMuseum นี้จะเป็นที่ที่เก็บ Gates of Paradise ของจริงเอาไว้ (ใช่เเล้วครับ อันที่ติดอยู่ที่ Baptisteryเป็นอันจำลอง) โดยตั๋วเข้าชมที่นี่จะรวมทั้งการเข้าชมDuomo/Baptistery/Campanile/Brunelleschi Dome ด้วย (ทุกอันสามารถเเสดงตั๋วเเล้วเข้าได้เลย เเต่ Brunelleschi Domeจะต้องเอาตั๋วไปจองคิวอีกที ซึ่งเเนะนำให้จองล่วงหน้าอย่างน้อย2 วันครับ เพราะคิวเต็มไว)
ภายในจัดเเสดงรูปสลักเเละผลงานต่างๆของมหาวิหาร รวมทั้วิธีการออกแบบโดมของ Brunelleschi
ไฮไลท์คือ Gates of Paradise บานนี้ครับ
อีกอย่างที่น่าสนใจคือ Death Mask ของ Brunelleschi ซึ่งธรรมเนียมการทำ Death Mask นั้นเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง โดยจะทำการหล่อเเบบจากขี้ผึ้งลงบนหน้าของผู้เสียชีวิต ก่อนนำมาขึ้นรูปปูนปั้น (สารภาพว่าตอนดูเเอบเสียวสันหลังเเว๊บๆ)
เปลี่ยนบรรยากาศจากการชมวิหารเป็นไปเดินตลาดกันมั่งดีกว่า โดยตลาดที่ผมเเนะนำคือ Mercato di San Lorenzo อยู่ใกล้ๆกับโบสถ์ San Lorenzo ที่นี่ขั้นล่างจะเป็นตลาดสด เเต่ชั้น2 จะเป็นเหมือนFood Court ขนาดใหญ่ เราสามารถเลือกซื้ออาหารจากร้านต่างๆมานั่งทานตรงโต๊ะที่เขาจัดไว้ให้ได้
ผมลองสั่งมาทานหลายๆร้าน ส่วนใหญ่อร่อยนะ มีเเค่ร้านสเตค ที่ผมว่าไม่ผ่าน ส่วนร้านขนม/เบเกอรี่ อร่อยๆทั้งนั้นเลยครับ
ใครที่มาเที่ยวFlorence เเนะนำให้มาทานที่นี่ครับ อาหารอร่อย หลากหลาย เเถมราคาไม่เเพงอีกด้วย
จากนั้นผมก็เดินทางไปชมวิวที่ Piazzale Michelangelo ซึ่งเอาจริงๆ สามาถเดินไปได้จากกลางเมืองนะ (คราวที่เเล้วผมก็เดินเอา)เเต่พ่อกะพี่ผมออกตัวเเรงมากว่าไม่เดิน เหนื่อย เลยนั่งTaxi มาเเทนที่ Piazzale Michelangelo เปนจุดชมวิวมหาชนของFlorence เราสามารถมองเห็นทั้งเมืองเเละเเม่น้ำArno รวมทั้งPonte Vecchio ได้ในทีเดียว วิวมุมนี้สวยมาก เเต่ในขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวก็เยอะมากกกกกกกกก
ชมวิวได้ไม่นานก็ยอมเเพ้คน นั่งTaxi มาที่ Ponte Vecchio ซึ่งคนก็เยอะไม่เเพ้กันเลย
จุดที่ใช้ถ่ายสะพาน Vecchio ก็จะเป็นจากกลาง St Trinity Bridge ครับ ช่วงเย็นๆเเบบนี้ นักท่องเที่ยวต่างมาจับจองทำเลถ่ายรูปกันตลอดเเนวสะพานเลย
หลังจากนั้นก็เดินทางกลับห้องพัก ซึ่งเเน่นอนจะต้องผ่าน Duomo โดย Duomo ยามค่ำนั้นคนน้อยมาก ให้บรรยากาศสงบเเปลกๆดีครับ
ใกล้ๆกับDuomo จะมีร้านเจลาโต้ที่ในเนตเเนะนำว่าอร่อยอยู่ ชื่อร้าน Gelateria Edoardo ผมเลยลองทานดู เเล้วพบว่าเฉยๆเเฮะ ชอบ GROM กะ VENCHI มากกว่า
วันถัดมา ผมมีเเพลนชม Museum หลักๆของ Florence 2เเห่งด้วยกันคือ Galleria degli Uffizi และ Galleria dell'Accademia di Firenze ที่เเรกที่จะไปก็คือ Galleria degli Uffizi ซึ่งเป็น Museum ที่เก็บงานศิลปะชิ้นสำคัญๆไว้เป็นจำนวนมาก คราวที่เเล้วผมมา เนื่องจากเวลาน้อย อดเข้าชมMuseum นี้ คราวนี้เลยเทคิวให้ทั้งวัน โดยจองตั๋วล่วงหน้า กะว่าจะช่วยย่นระยะเวลาได้ โดยเมื่อมาถึงเราต้องเอาใบเสร็จมาเเลกตั๋วที่ตรงนี้ก่อน
เเล้วก็ได้พบความจริงที่ว่า ต่อให้มีตั๋ว เราก็ต้องเข้าคิวเข้าชมMuseum อยู่ดี รอไปเบาะๆ 1 ชม กว่าๆ
ระหว่างรอก็ดูรายละเอียดMuseum รวมถึงงานประติมากรรมศิลปินสำคัญซึ่งอยู่ตรงหน้าทางเข้าไปพลางๆ
Galleria degli Uffizi นั้นจะประกอบไปด้วยพื้นที่จัดเเสดงจำนวน 3 ชั้นด้วยกัน โดยไฮไลท์จะอยู่ที่ชั้น 3 ทางMuseum จะจัดเส้นทางเดินให้เราขึ้นไปชั้นบนสุดก่อน เเล้วค่อยๆลงมาทีละชั้นครับ
ในปัจจุบันทั้ง Galleria degli Uffizi และ Galleria dell'Accademia อนุญาตให้ผู้เข้าชมถ่ายรูปภายในได้เเล้วครับ (ตามเทรนด์ยุคโซเชียล) ทำให้เมื่อมาถึงชั้น3 ผมก็เสียเวลาไปกับการถ่ายรูปโถงทางเดินนี้ไปนานเลย งานเพนท์เพดานสวยมากกกกกกกก
ตลอดเเนวทางเดินรูปตัว U จะมีประติมากรรมจัดเเสดงอยู่เป็นระยะๆ เเต่ที่ดูเหมือนจะชิงความโดดเด่นไปจากประติมากรรมเห็นจะหนีไม่พ้นงานเพนท์เหล่านี้
ถ้าใครเคยไปVatican Museum จะเห็นประติมากรรม Laocoön and His Sons ซึ่งเป็นเรื่องเล่าในตำนานกรีก โดยเรื่องมีอยู่ว่า เลอโคออนได้ล่วงรู้เเผนการใช้ม้าTrojan ที่กรีกจะใช้ส่งเข้าไปในเมืองทรอย เมื่อเลอโคออนพยายามจะเปิดเผยอุบายนี้ให้ทางทรอยรู้ โพไซดอนจึงส่งงูทะเลมาสังหารเลอโคออนเเละบุตร ซึ่งประติมากรรมLaocoön and His Sons ถือว่าเป็นชิ้นงานระดับMasterpiece จนเป็นเเรงบันดาลใจในการสร้างผลงานของมิเกลันเจโล ใช้ช่วงหลังๆเลยทีเดียว สำหรับLaocoön and His Sons ที่ตั้งอยู่ที่ffiziนั้น พระสันตะปาปาลีโอที่ 10 ได้ว่าจ้างประติมากรให้จำลองมาไว้ที่Florence ครับ
สำหรับงานจิตรกรรม ผมขอเอาชิ้นเด่นๆบางชิ้นที่น่าจะเป็นที่รู้จักกันมาให้ชมนะครับ
The Duke and Duchess of Urbino Federico da Montefeltro and Battista Sforza ผลงานของ Piero della Francesca ภาพนี้เป็นภาพของFederico da Montefeltroเเละภรรยา Battista Sforza โดยเป็นภาพคนที่มีทิวทัศน์เป็นฉากหลังภาพเเรกๆของยุคนั้น ภาพหันข้างของบุคคลทั้งสองได้รับการวาดขึ้นมาให้เหมือนกับเหรียญในยุค Renaisssance มีการลงสีตัดขอบเส้นใบหน้าอย่างชัดเจนโดยถึงเเม้ว่าการลงสีส่วนเสื้อผ้าเเละทิวทัศน์จะละเอียดสมจริงมาก เเต่สิ่งที่น่าสังเกตุคือใบหน้าของ Battista Sforza กลับดูไม่เหมือนจริง นักวิเคราะห์กล่าวว่าอาจเป็นไปได้ที่ศิลปินวาดหน้า Battista Sforza จาก Death Mask เพราะตัวจริงของเธอได้เสียชีวิตในวัยสาว(25ปี) จากการคลอดลูกคนที่ 11 ให้กับ Federico da Montefeltro จึงเชื่อกันว่าFederico da Montefeltroได้ให้ศิลปินวาดภาพนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์สำหรับภรรยา
Madonna and Child with Two Angels ผลงานของ Filippo Lippi
ภาพพระเเม่มารีเเละพระเยซูพร้อมด้วยเทวดาทั้ง2องค์นี้ ถือเป็นต้นเเบบภาพวาดในยุคRenassiance รวมทั้งเป็นเเรงบันดาลใจในการวาดภาพของBotticelliด้วย ภายในภาพเเสดงให้เห็นถึงความนุ่มนวล รายละเอียดของผ้าคลุมผมเเละการเเต่งกายที่สอดคล้องกับการเเต่งกายของสตรีชาวFlorence เทวดา1 องค์ในรูป มองออกมายังผู้ชมเพื่อดึงสายตาเเละเรื่องราวให้เข้าไปในภาพวาด ใบหน้าของพระเเม่มารีดูอ่อนโยนเเละในขณะเดียวกันก็ดูเศร้านิดๆ เพราะรู้ชะตากรรมของโอรส (เชื่อกันว่าใบหน้าของพระเเม่มารีมีต้นเเบบมาจากLucrezia Buti แม่ชีสาวจากปราโตซึ่งต่อมาได้กลายเป็นภรรยาของ Lippi)
La Primavera ผลงานของ Botticelli
ภาพ Primavera หรือฤดูใบไม้ผลินั้น เป็นผลงานที่น่าจะเป็น1ใน2ผลงานที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของ Botticelli ภาพนี้เเสดงถึงฉากในนิยายเทพปรณัม อันประกอบด้วย Zephyrus กำลังฉุด Chloris จนเธอต้องกลายร่างเป็นต้นไม้เพื่อปกป้องตัวเอง ถัดมาเป็น Flora เทพีเเห่งฤดูใบไม้ผลิ ส่วนกลางภาพที่เหนือหัวมีคิวปิดคือเทพีวีนัส ส่วนสตรี3คนที่กำลังเต้นรำนั้นคือThe Three Graces เทพีเเห่งเสน่หา(คือไม่รู้จะเเปลยังไง -_-") ปิดท้ายด้วยMercury ซึ่งกำลังเอามือสัมผัสกับเมฆซึ่งเป็นบรวารของเขา ความโดดเด่นอีกอย่างของภาพนี้ นอกจากความงามเเละความซับซ้อนในเนื้อหาเเล้ว บรรดาต้นไม้ใบหญ้าทั้งหลายในภาพกว่า 138 สายพันธุ์ ได้รับการวาดเเละลงสีอย่างถูกต้องเหมือนจริง เเสดงถึงความละเอียดเเละรอบรู้ของ Botticelliเป็นอย่างดี
Birth of Venus ผลงานของ Botticelli
ภาพการกำเนิดของวีนัสภาพนี้ ดังไปทั่วโลก เป็นเเรงบันดาลใจให้กับศิลปินป๊อปมากมาย อย่างLady Gaga ในMV Applause หรือ Mariah Carey ใน MV My All ภาพBirth of Venus เล่าถึงการกำเนิดเทพีวีนัส ซึ่งเกิดจากละออกทะเลเเละการพัดพาของลมZephyr มาถึงยังเกาะCyprus โดยมีสตรีที่เชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามของ The Three Graces หรือเทพีเเห่งฤดูใบไม้ผลิมาคอยเอาผ้าคลุมให้
ในโซนของชั้น 3 จะมีงานของศิลปินดังๆอยู่เยอะมาก เรียกว่าเดินดูกันตาเเฉะเลยครับ หลักๆจะหนักไปทางงานเกี่ยวกับศาสนาเสียมาก
ตรงทางเดินเชื่อมระหว่างห้อง เราามารถชมเมืองFlorence ได้ โดยจากมุมนี้จะเห็น Vasari Corridor หรือทางเดินที่เหล่าผู้ปกครองเมืองใช้เดินจากPalazzo Pitti มายังที่นี่โดยทำเป็นทางเหนือสะพานเวคคิโอเชื่อมเข้ามายัง Uffizi ต่อเนื่องไปยังPalazzo Vecchio
เมื่อเดินมาจนสุดทาง จะมีคาเฟ่เเละ Outdoor Terrace ให้ออกมานั่งเปลี่ยนบรรยากาศ จากการชมงานศิลป์ได้ครับ
จากนั้นก็เดินลงมาที่ชั้น 2 ซึ่งจะจัดเเสดงงานในยุคปลาย Renaissance โดยมีทั้งประติมากรรม เเละจิตรกรรมครับ
ผมชอบภาพนี้มาก เเสงในภาพดูอบอุ่นสมจริงสุดๆ ชื่อภาพคือ The Scullery Maid โดย Giuseppe Maria Crespi ผมชอบอารมณ์ของภาพ การให้เเสงเน้นไปที่ตัวMaid สมจริงสุดๆ
อีกหนึ่งภาพที่มีชื่อเสียงมากของUffiziคือ Medusa โดย Caravaggio โดยภาพนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นโล่ห์ใช้ในพิธีการของตระกูลเมดิซี โดยCaravaggio ใช้หน้าตนเองเป็นต้นเเบบในการวาด ความซับซ้อนของงานนี้คือ ถึงเเม้Caravaggioจะวาดภาพนี้บนวัตถุที่นูนออกมา เเต่กลับใช้สีเเละการเล่นเเสงเงาให้เหมือนกับฉากหลังเว้าเข้าไป เเล้วหน้าเมดูซ่ายื่นออกมาเเทน
นอกจากนี้ ยังมีงานที่น่าสนใจอีกมากในUffizi เเต่ถ้าจะให้บรรยายคงอ่านกันตาเเฉะ ขอลงภาพรวมๆไว้นะครับ
ตรงทางออก ก็จะมีร้านขายของที่ระลึกตามธรรมเนียมMuseum ทั่วไป ผมได้โปสเตอร์มาหลายใบเลย จากที่นี่
หลังจากออกจาก Uffizi ก็มาต่อที่ Galleria dell'Accademia di Firenze โดยที่นี่ นักท่องเที่ยวทุกคนล้วนเเต่มาเพื่อชมDavid ของจริง ที่นี่ผมจองตั๋วมาล่วงหน้า เลยทำให้ไม่ต้องรอคิวนาน เมื่อเข้ามาในอาคารก็จะเห็น David ผลงานโคตรดังของ Michelangelo ตั้งตระหง่านอยู่โถงกลางอาคาร ซึ่งเออ สวยจริงๆ เเถมไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า มันดูสวยกว่าตัวจำลองที่ Piazza della Signoria เเฮะ สำหรับเดวิดนั้นตามเรื่องเล่าคือเด็กธรรมดาที่อาสาต่อสู้กับยักษ์โกไลเเอธได้ ซึ่งมีนัยยะทางการเมืองคือในช่วงหนึ่ง ระบบการปกครองของFlorence วึ่งถูกครอบงำด้วยตระกูลเมดิซีมาเป็นระยะเวลานานได้ถูกประชาชนล้มลงได้ David ของ Michelangelo จึงเหมือนการอุปมาระหว่างเดวิด(ประชาชน)เเละโกไลเเอธ(ตระกูลเมดิซี)
นอกจากDavid เเล้ว ที่นี่ยังมีงานน่าสนใจอีกหลายงานเช่น The Rape of the Sabine Women ซึ่งเป็นเรื่องเล่าของชนเผ่า Sabines ที่ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงของพวกเขาแต่งงานกับชาวโรมัน หนุ่มโรมันทั้งหลายจึงใช้วิธีการฉุดหญิงชาวSabine เเทน
อีกห้องหนึ่ง จะเป็นเหมือนห้องที่รวบรวมผลงานของเหล่าศิลปินที่ใช้ฝึกฝีมือ มีงานสวยๆหลายงานเลยครับ รายละเอียดสุดยอด
ผมชอบรูปเเกะสลักอันนี้มาก ดูหมดอาลัยตายอยากในชีวิตสุดๆ
ในส่วนของงานจิตรกรรมที่จัดเเสดง จะเน้นไปทางงานที่เกี่ยวข้องกับคริสศาสนจักรเป็นหลักครับ
เอาจริงๆGalleria dell'Accademia มีอะไรให้ชมเยอะนะ เเต่ด้วยDavid นั้นดังมากกกก จนอาจกลบความงามของงานชิ้นอื่นๆ ถ้าใครชอบดูงานประติมากรรมสวยๆ ที่นี่มีให้ดูอย่างจุใจ เเถมดูได้ในระยะประชิดเลยด้วยครับ
สำหรับสถานที่สุดท้ายในFlorence ที่ผมจะไปคือร้านน้ำหอม Officina Profumo-Farmaceutica di Santa Maria Novella Firenze (ชื่อยาวชะมัด)ความเด่นดังของร้านนี้คือมีประวัติความเป็นมายาวนานเป็นร้อยๆปี โดยเดิมเกิดจากกรรมวิธีในการทำเครื่องหอมใช้ในโบสถ์ของเหล่านักบวช จนต่อมาก็พัฒนากลายมาเป็นร้านขายเครื่องหอม เครื่องสำอางค์ รวมทั้งเครื่องดื่มสมุนไพร ชา เเละยารักษาต่างๆ ทางเข้าอาจจะดูเล็กๆ เเต่ข้างในไม่ธรรมดานะเออ
เมื่อเข้ามา โถงเเรกที่เจอจะเป็นโถงสำหรับขายโคโลญ ซึ่งเราสามารถเดินไปที่เคาท์เตอร์เพื่อขอลองกลิ่นต่างๆจากพนักงานได้ อารมณ์เดียวกับเคาท์เตอร์น้ำหอมครับ
กลิ่นที่ผม เเละพี่สาวลงความเห็นร่วมกันว่าหอมมากคือ Angels di Florence หอมคล้ายๆ J'dore ของDior ครับ สนนราคาต่อขวดราวๆ 3,500 บาท
ห้องถัดมาจะเป็นห้องขายพวกสบู่หอม เเละเครื่องหอมอบเเห้ง อารมณ์อุปกรณ์สปา
อีกห้องจะขายพวกยาสมุนไพร ขวดนิดเดียวเเต่ราคาโหดใช้ได้
เนื่องจากตัวร้านเป็นส่วนหนึ่งของBasilica di Santa Maria Novella จึงมีงานเฟรสโกสวยๆให้เราชมระหว่างละลายทรัพย์
หลังจากเสียเงินเป็นที่เรียบร้อย ก็มานั่งพักที่ Cafe ของร้าน ซึ่งที่นี่มีทั้งขนม เเละเครื่องดื่ม โดยของขึ้นชื่อจะเป็นชาชนิดต่างๆ
ชาหลายตัวหอมมาก เเถมเเพคเกจจิ้งสวยมาก ผลคือ เสียเงินอีกรอบ 5555
ขนมที่มีในร้านมีไม่มาก เเถมรสชาติเฉยๆ อาจจะเพราะผมไม่ค่อยชอบเค้กสไตล์ยุโรปที่เเป้งหนักๆ ร่วนๆมั้ง เลยไม่ประทับใจเท่าไร
ขอจบรีวิวในส่วนของ Florence ไว้ที่ คห นี้ครับ เดี๋ยวกระทู้หน้าจะพาไปเที่ยว Siena กับ San Giminano ครับ