🚗 ขั บ ไ ป เ รื่ อ ย 🚗 🇯🇵 H o k k a i d o 🇯🇵 🔆 Summer Road Trip 🔆
“ฮอกไกโด” ถือว่าเป็นเมืองยอดฮิตเมืองหนึ่ง ที่คนไทยชอบไปกัน นั่นก็เพราะว่าเมืองนี้มีลักษณะภูมิประเทศที่สวย อากาศดี อาหารอร่อย แล้วก็ ที่ยวได้ทั้งฤดูหนาว และ ฤดูร้อนนั่นเอง
โดยส่วนใหญ่แล้ว คนมักนิยมที่จะเที่ยวพวกเมืองหลัก ๆ อย่าง ซัปโปโร, โอตารุ, ฮาโกดาเตะ, โนโบริเบ็ตสึ, อะบาชิริ, อาซาฮิกาว่า อะไรพวกนี้ เพราะว่ามีชื่อเสียง ไปง่าย แต่อย่าลืมว่า ฮอกไกโด เป็นจังหวัดที่ใหญ่มากนะ บางครั้ง ถ้าเราสามารถออกนอกเส้นทางบังคับได้เองบ้าง ก็จะทำให้เราได้เห็นอะไรใหม่ ๆ ได้อีกเยอะเลยทีเดียว
วันนี้ น า ย บ้ า เ ที่ ย ว จึงขอแนะนำ Hokkaido Road Trip Trip Trip Trip (เสียงสะท้อน) รีวิวการเที่ยวฮอกไกโดแบบลัดเลาะชายฝั่ง ด้วยการเช่ารถคันใหญ่ ไปได้ทั้งครอบครัว (ปี 2018) ถือว่าเป็นการเที่ยวที่ทำให้เราได้เห็นวิวที่แตกต่าง ได้สัมผัสกับชุมชน และร้านค้าเล็ก ๆ ของชาวบ้าน และมีเวลาให้กับเมือง ๆ นี้มากยิ่งขึ้น
แต่ว่าก่อนที่เราจะขึ้นรถ และเตรียมตัวไปเที่ยวกัน ต้องขอเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยกันหน่อย เพราะว่าเมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งมีนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่เที่ยวโดยรถยนต์ แล้วเกิดอุบัติเหตุ ทำให้มีคนบาดเจ็บมากมาย ดังนั้นทางเราจึงอยากจะเน้นย้ำเรื่องความไม่ประมาท และการเคารพกฎจราจรของประเทศญี่ปุ่นอย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน
เอาล่ะ ! ถ้าพร้อมแล้ว … ไปกันเล๊ย !!!
Lavender Softcream 🍦
สีม่วงที่ เป็นเมนู signature ของ Tomita Farm ฟาร์มลาเวนเดอร์ นุ่มละมุนลิ้น ไม่หวานเกิน แต่อย่าถ่ายรูปนาน เพราะละลายไวมากก..กกก
Hakodate 🚗
Road Trip ของเราเริ่มต้นอย่างจริง ๆ จัง ๆ หลังจากออกจาก Hakodate เมืองเงียบ ๆ ที่มากี่ครั้งก็ชอบ ด้วยบรรยากาศที่แตกต่างจากเมืองญี่ปุ่นที่คึกคักทั่วไป Hakodate จึงเป็นเมืองที่เงียบ ๆ ร้าง ๆ มีแต่ร้านค้าเก่า ๆ ที่หลายร้านได้ปิดตัวลง จริงอยู่ว่าที่นี่อาจไม่เหมาะกับขาช็อปทั้งหลาย หรือนักเที่ยวที่ชอบความตื่นตาตื่นใจ
แต่สำหรับคนที่มาญี่ปุ่นบ่อย ๆ แล้ว ได้เห็นมุมที่พอเพียง ไม่หวือหวา ประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ แล้วมีเสียงเพลงลูกทุ่งญี่ปุ่น (เอ็งขะ) ดังแว่ว ๆ จากลำโพงเสียงตามสาย ที่นี่ถือว่าเป็นเมืองโปรดที่คลาสสิคใช่ได้เลย
🏢 Hakodate Bay สำหรับ Hostel พักในคืนนี้ ทั้ง Hostel ไม่มีแขกอื่นเลย ราคาไม่แพงมาก คุณภาพปานกลาง ถือว่านอนพักเอาแรงได้ครับ
ทะเลริมทาง (พิพิธภัณฑ์ปรมาณู) 📍
หลังจากขับผ่านเมือง Iwanai เราก็เห็นป้ายเชิญชวนให้แวะใช้บริการห้องน้ำขนาดใหญ่ จึงตัดสินใจแวะ
ปรากฏว่าที่นั่นกลับเป็น “Hokkaido Nuclear Energy Environmental Center” หรือ “ศูนย์ประชาสัมพันธ์พลังงานนิวเคลียร์ของฮอกไกโด” ซึ่งถือว่าพลิกล็อคน่าประหลาดใจมาก ๆ แต่ก็อาจเป็นเพราะที่ชายฝั่งใกล้ ๆ นี่มี Tomari Nuclear Plant (โรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์โทมาริ) เลยทำให้มีพิพิธภัณฑ์และศูนย์ประชาสัมพันธ์อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งตลกดี
ข้างในให้บรรยากาศเหมือนมาเที่ยวท้องฟ้าจำลอง คือมีพวกเครื่องเล่นแบบสื่อการเรียนการสอนเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ มีหุ่นยนต์เล่าเรื่อง มีเกมให้ความรู้ให้เล่น ฯลฯ ซึ่งพนักงานก็ดูชินและชานะ ทุกคนยิ้มแย้มให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พอเราเดินเข้าไปปุ๊บ เขาก็ผายมือบอกทางเลยว่า “ห้องน้ำไปทางนี้ค่ะ” จนเราต้องทำเป็นสนใจเรื่องราวของนิวเคลียร์ฟิซชั่นเพื่อแก้เขินกันหน่อยเลยทีเดียว
ด้านนอกมีใบพัดกังหันพลังงานลมมาวางไว้ให้ดูด้วย ว่าของจริงนั้นใหญ่แค่ไหน ตัว mascot ของที่นี่ที่ชื่อว่า Tomarin ที่มองดูแล้วนึกถึงอย่างอื่น
Kamui Misaki (แหลมคามุย ทะเล Shakotan) 📍
แหลมคามูอิ มิซากิ หรือที่พวกเรา(ในรถ)เรียกกันแบบไทย ๆ ว่า แหลมคามุย ๆ ถือว่าเป็นสถานที่ ๆ รู้สึกว่าคุ้มค่ามากที่ได้มา
ตัวแหลมตั้งอยู่บน Kamuimisaki Nature Park (อุทยานธรรมชาติคามูอิมิซากิ) ซึ่งปกคลุมไปด้วยพืชสีเขียว (ไม่รู้ว่าต้นอะไร) และด้วยความที่ลมแรงมาก พอเจ้าพวกพืชเหล่านี้มันพลิ้วไปตามกระแสลม ดูแล้วสวยมาก ๆ
แหลมคามูอิ มีเรื่องเล่าเก่าแก่ว่า เป็นที่ ๆ หญิงสาวลูกสาวชนเผ่าไอนุ (ชนเผ่าพื้นเมืองของญี่ปุ่น) ได้ตกหลุมรักขุนพลคนหนึ่ง แต่เมื่อขุนพลคนนั้นออกเรือไป หญิงสาวก็ได้มาตะโกนเรียกที่แหลมนี้ แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน ทำให้เธอเศร้าโศกเสียใจ จนสาปแช่งเรือที่ผ่านแหลมนี้ว่า หากบนเรือมีผู้หญิงมาด้วย จะเป็นอันต้องอับปางและจมลง ก่อนที่เธอจะกระโดดลงไปในน้ำทะเล แล้วได้กลายมาเป็นหินที่มีลักษณะเป็นคนยืนที่แหลมนี้
ซึ่งจะว่าไปแล้ว ตำนานแบบนี้ ก็มีเล่าต่อ ๆ กันมาทุกประเทศแหล่ะ เป็นการสร้างเรื่องเล่า เปรียบเปรยตามลักษณะของหิน หรือ ภูเขา (เช่น ถ้ำนางนอน ของไทยเป็นต้น) โดยเบื้องลึกแล้วอาจเป็นกุศโลบาย ไม่อยากให้ผู้หญิงขึ้นเรือก็ได้ เพราะธรรมเนียมปฏิบัติเรื่องการไม่ให้หญิงสาวขึ้นเรือออกทะเล ก็มีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้ว เพราะว่าการออกไปทะเลนั้น มันอันตราย แถมลูกเรือยังมีแต่ผู้ชาย อาจไม่เหมาะสมได้
แหลม Kamui Misaki สามารถชมวิวทะเลได้ไกลสุดตา เพราะสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 80 เมตร ซึ่งยื่นออกไปในทะเล Shatokan หรือที่คนเรียกกันว่า “Shatokan Blue” เพราะว่าน้ำทะเลมีสีฟ้าสดดูสวยงามนั่นเอง
แต่ตอนที่เราไป เขาไม่อนุญาติให้เดินไปที่ปลายแหลมไม่ได้นะ ซึ่งสำหรับใครที่จะมาที่นี่ เห็นมีแค่นี้ แต่ก็ต้องเผื่อเวลาเดินไว้ประมาณชั่วโมงนึงเหมือนกันนะ เพราะว่าพื้นที่ค่อนข้างกว้างมาก ส่วนของลานจอดรถ และมีร้านอาหารที่สามารถฝากท้องไว้ได้ ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังที่ต่อไป
ทะเลริมทาง 🚗
จาก Hakodate เรายึดเมือง Suttsu เป็นจุดหมายปลายทาง แล้ววิ่งลัดเลาะไปตามชายฝั่งของเมือง ไปตามทางหลวงหมายเลข 229 ซึ่งเป็นถนนที่ตัดสลับกับอุโมงค์เป็นระยะ ๆ มีหมู่บ้านชาวประมง และร้านอาหารทะเลท้องถิ่นให้เห็นเป็นระยะ ๆ
Shimamui Beach 📍
ถัดมาไม่ไกลจากแหลมคามูอิ ก็มีชายหาดชิมามูอิ ที่ต้องลอดอุโมงค์ทะลุออกไป เพื่อเดินลงไปยังข้างล่าง
ที่นี่ติด 1 ใน 100 หาดที่สวดที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นหาดที่เงียบสงบ และไม่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านมากนัก อยู่ใน Niseko-Shatokan-Otaru Kaigan Quasi National Park หรือ อุทยานแห่งชาติ นิเซโกะ ชาโตคัง โอตารุ ไคกัง ควาซี่ (ชื่อยาวมาก)
เมื่อมาถึง ก็ต้องเดินทะลุอุโมงค์ไป แล้วก็เดินตามทางเพื่อลงไปยังข้างล่าง แน่นอนว่าที่นี่ก็ใช้เวลาพอสมควรเหมือนกัน สำหรับการเดินขึ้นและเดินลง และอาจไม่ใช่สถานที่ ๆ หวือหวาสำหรับคนที่ชอบชายหาดที่เต็มไปด้วยร้านค้า หรือคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มีแต่ธรรมชาติ และเรื่องราวของความเก่า อย่างฐานของสถาปัตยกรรมแบบเก่าของญี่ปุ่น ที่ยังคงหลงเหลือไว้บนชายหาด นอกจากนี้ ที่ลานจอดรถยังมีร้านค้าขายอาหาร ที่สามารถไปซื้อของฝาก และทาน soft cream คลายร้อนได้
Kanemori Red Brick Warehouse 📍
อาคารร้านค้า และสถานที่จัดแสดงเรื่องราวของชุมชน ที่ดัดแปลงอาคารเก่าที่ถูกสร้างมาตั้งแต่ ค.ศ. 1909 ให้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ซึ่งสินค้าข้างใน จะเป็นพวกงาน hand craft ที่ราคาไม่ค่อยถูกซักเท่าไหร่ แต่ซื้อไปแล้วไม่เหมือนใครแน่นอน แวะกินปูขนก่อนเข้าที่พัก
Otaru Nupuri Hostel 🏢
คืนนี้พวกเราเหมาที่นี่เลย โดยจองผ่าน Air BNB แม้ว่าส่วนของที่นอนจะเป็นช่องเตียงนอนแยกช่องละคน แต่ก็มีพื้นที่ส่วนกลางเป็นห้องครัว และโต๊ะอาหาร ให้พวกเราสามารถเอาผลไม้มาล้างและรับประทานได้
Otaru Aquarium 📍
ด้วยความที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเกาะ ดังนั้นทีนี่จึงมีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเยอะมาก ๆ และบางที่ก็สวยมาก ๆ ด้วย ซึ่งถ้าพูดเรื่องความสวย หรือ ความอลังการ คงไม่ใช่ที่ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโอตารุแน่ (ผ่าม) แต่ถ้าใครชอบบรรยากาศบ้าน ๆ แบบคลาสสิค ที่นี่ถือว่าใช่เลย
Otaru Aquarium หรือ โอตารุซุยโซคุคัง เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่เปิดมานานถึง 45 ปีแล้ว และตั้งอยู่ริมทะเล ทำให้รู้สึกได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ
บรรยากาศภายใน อาจไม่ได้หรูหรา เหมือนพวก Aquarium ล้ำ ๆ ตามเมืองใหญ่ เพราะส่วนจัดแสดงด้านใน จะมีสีซีด ๆ และภาพวาดของอุราชิมาทาโร่ที่บ่อเต่าที่ดูบ้าน ๆ เดินเข้าไปแล้ว คล้าย ๆ Oasis World ที่จันทบุรี
แต่บนความเชย คือความคลาสสิค และความเพลินเพลินของสถานที่ ๆ ให้ความรู้กับเด็ก ๆ และครอบครัว
มีพ่อแม่พาลูกเด็กเล็กแดงมาดูสัตว์ต่าง ๆ มีโชว์โลมา มีโชว์เพนกวิน (ที่เพนกวินไม่ให้ความร่วมมือเลย) ยิ่งถ้าเป็นคนไทยแล้ว การไม่ค่อยได้มาดูสัตว์ทะเลที่ญี่ปุ่นมาก่อน ยังไงก็ถือว่าคุ้ม เพราะหลายสิ่งหลายอย่าง จะไม่ใช่สัตว์ทะเลที่มีให้ดูง่าย ๆ ในบ้านเราแน่นอน
ดาราประจำพิพิธภัณฑ์ของที่นี่คือเจ้า Balloon Lumpfish นี่ ที่เป็นปลาหน้าตาตลก จนที่นี่ทำตุ๊กตาออกมาขายด้วย
ซึ่งเจ้าปลานี้ จริง ๆ แล้วเป็นปลาตระกูล “ปลาสิงโต” ที่ว่ายน้ำไม่ค่อยได้ … ถูกต้องแล้วครับ มันจะว่ายน้ำไม่ค่อยได้ แต่จะเน้นลอยตัวเตี้ย ๆ ใกล้พื้น และ โขดหินมากกว่า
Minshuku Aozukashokudo 📍
เป็นร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากตัวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำสักเท่าไหร่นัก พวกเราเลือกร้านนี้เพราะว่ามีลูกค้าแน่นร้านจนต้องรอคิว ส่วนร้าน ๆ ที่อยู่ติด ๆ กันนั้นแทบไม่มีลูกค้าเลย (สงสารเค้าเหมือนกัน)
อาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือ หอย และปลาย่าง ส่วนราคานั้นก็อยู่ในระดับไม่ถูกซักเท่าไหร่นัก
Otaru Canal 📍
ช่วงบ่ายแก่ ๆ เราไปเดินเล่น Otaru ไปดูร้านขายกล่องดนตรี ที่ปัจจุบันนี้มีขายพวกตุ๊กตาเยอะจนผิดหูผิดตา ซึ่งเดาเอาว่าเหล่าบรรดานักท่องเที่ยวจีนคงถูกใจสิ่งนี้ ก่อนจะปิดท้ายด้วยบรรยากาศของคลองโอตารุยามค่ำ
Asahiyama Zoo 📍
การมาดูสัตว์ 2 วันติดกันเป็นทางเลือกที่ไม่ค่อยฉลาดซักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าก๊วนเดินทางของคุณไม่ได้มีเด็กอยู่ในนั้น แต่ด้วยความที่เป็นทางผ่าน และวันรุ่งขึ้นอาจฝนตก จึงต้องมาเที่ยวสวนสัตว์ที่เป็นสถานที่กลางแจ้งก่อน สวนสัตว์ Asahiyama ตั้งอยู่ในเมือง Asahikawa ถือว่าเป็นสวนสัตว์ที่ได้รับความนิยมอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น
ด้วนปริมาณสัตว์ที่มีมากถึง 750 ชนิด ทั้งสัตว์หาดูยาก และสัตว์ที่มาจากภูมิประเทศที่หลากหลาย ทำให้ที่นี่ถือว่าเป็นสถานที่ ๆ คนรักการมาเดินเล่นสวนสัตว์ห้ามพลาดเลยทีเดียว
สำหรับดาวเด่นของที่นี่ ก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แพนด้าแดง เพนกวิน แต่ที่ชอบดูที่สุด คือ เจ้าหมีขาวขั้วโลกเหนือนั่นเอง ซึ่งที่นี่จะมี 4 ตัว ตัวผู้ชื่อ อิวาน ส่วนตัวเมียอีก 3 ตัวชื่อ ซัทซึกิ , พิลิก้า และ ลูลู่ ซึ่งต้องบอกตามตรงว่า เจ้าตัวในรูปคือตัวไหน เพศอะไร ไม่สามารถบอกได้เลยจริง ๆ
Asahikawa Ride Guest House 🏢
สำหรับที่พักคืนนี้ ถือว่าเป็น Hostel / Guesthouse เก๋ ๆ ที่เน้นให้บริการแก่นักปั่น เพราะว่าที่ Asahikawa ถือว่าเป็นเมืองที่นักปั่นนิยมมาปั่นจักรยานกันมากในช่วงฤดูร้อนแบบนี้ ที่นี่จึงมีที่ให้จอดจักรยาน และอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้นักปั่นได้เลือกใช้ตามสะดวก แถมยังมีเจ้าแมวเหมียว เป็น mascot ประจำที่พักอีกด้วย
Kamikawa Shrine Tongu 📍
เป็นศาลเจ้าลัทธิชินโต ที่อยู่ในสวนสาธารณะ Tokiwa Koen ซึ่งช่วงเวลาที่เราไปมีงานแห่เกี้ยว และร้านค้าสไตล์งานวัด (มัตสึริ) รอบ ๆ ตัวสวนพอดี ก็เลยทำให้ได้เดินเล่น ซื้อของกิน และดูบรรยากาศต่าง ๆ
สำหรับเมืองในต่างจังหวัดของญี่ปุ่นอย่าง Asahikawa งานเทศกาลพิเศษแบบนี้ ถือว่าเป็นแหล่ง hangout ของหนุ่มสาวและครอบครัว ซึ่งพวกเขาจะแต่งชุด Yukata ซึ่งถือว่าเป็นชุดประจำฤดูร้อน (ผ้าจะบางและน้อยชิ้นกว่า กิโมโน) ถือว่าได้เห็นบรรยากาศประเพณีงานวัดสไตล์ญี่ปุ่น ที่สนุกและน่าสนใจเลยทีเดียว
เล่นเกมชิงของรางวัลงานวัดสไตล์สำเพ็งได้
Aoi-Ike (Blue Pind) เมือง Biei 📍
เราออกจาก Asahikawa แล้วขับรถมาที่ อาโออิ อิเกะ หรือ บึงสีฟ้า ซึ่งขับรถตามแม่น้ำ Biei มาเรื่อย ๆ ที่ปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่นี่เยอะกว่าครั้งก่อน ๆ เมื่อหลายปีที่เคยมามาก แทบจะต้องเดินต่อคิวเป็นแถวเพื่อชมบรรยากาศของบึงสีฟ้าเลยทีเดียว
Shirohige Waterfall 📍
ถึงแม้ว่าจะเคยเช่ารถมาที่บึงสีฟ้าเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสมาที่น้ำตกชิโรฮิเกะ แห่งนึ้ ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้ไกลจากตัวบึงสีฟ้าซักเท่าไหร่นัก แต่ถ้านับถึงความคุ้มค่าของความสวยของวิวแล้ว ถือว่าคุ้มมาก ๆ
ที่นี่ถือว่าเป็น 1 ใน 4 น้ำตกที่สวยที่สุดใน Hokkaido มีความสูงถึง 30 เมตร และล้อมรอบไปด้วยรีสอร์ทน้ำพุร้อน
ว่ากันว่าถ้ามาในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี จะสวยมากเลยทีเดียว
Tumbo Art (2018) 📍
ข้อดีของ Road Trip ก็คือการสามารถแวะจุดเล็กจุดน้อยได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลว่า รถเมล์ หรือ รถไฟเที่ยวสุดท้ายจะหมดเมื่อไหร่อีกหนึ่งที่ ๆ เราแวะก่อนกลับ คือ ศิลปะบนนาข้าว หรือ Tumbo Art ที่แต่ละปีจะมีการทำเป็นรูปต่าง ๆ แตกต่างกันไป ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก เพราะชาวนาจะใช้ข้าวที่มีสีที่แตกต่างกัน เพื่อรังสรรค์ขึ้นมาให้เป็นภาพที่สามารถชมได้จากมุมสูง และที่สำคัญ ฟรี ! นะฮะ
San-ai-no-Oka View Park 📍
จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินยอดฮิต ที่เผลอเพียงแป๊บเดียว ก็ได้กลายมาเป็นจุดรวมตัวของช่างภาพมืออาชีพ ที่มารอถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินสวย ๆ กันใหญ่ ด้วยแสงอาทิตย์สีส้ม ที่สะท้อนกับรวงข้าวในทุ่งนาที่ทอดยาวไปไกล เป็นความรู้สึกประทับใจ ของการเช่ารถ และมีเวลาทั้งวันเป็นของตัวเอง
Tomita Farm 📍
ฟาร์มลาเวนเดอร์ที่ใครๆ ต้องรู้จัก กันดาวเด่นเห่งฟูราโนะ “ฟาร์มโทมิตะ” โดดเด่นกับทุ่ง 7 สี “อิโรโดริ” นอกจากนี้ยังมีกระท่อมน้อยต่างๆ ให้ได้เพลิดเพลินกับกิจกรรมลาเวนเดอร์ เช่น พิพิธภัณฑ์ของฟาร์ม การสาธิตการทำน้ำมันหอมระเหย ถุงหอม กิจกรรมเวิร์คช็อปต่างๆ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และอย่าพลาดกับไอศกรีมลาเวนเดอร์แสนอร่อยของที่นี่