สวัสดีครับ วันนี้จะมารีวิวตอนสุดท้ายของทริปอิตาลีครับ สามารถย้อนอ่านตอนก่อนหน้าได้ที่Linkด้านล่างนี้ครับ
จาก Florence ผมนั่งรถไฟตรงมายังVenice ครับ โดยสามารถนั่งมาลงที่เกาะได้เลยที่สถานี Venezia Santa Lucia ครับ
ออกมาจากสถานีรถไฟ Venezia Santa Lucia เราจะพบกับ Chiesa di San Simeon Piccolo โบสถ์เก่าเเก่ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งของ Grand Canal
ถ้ามองไปทางขวามือ จะเจอสะพานรูปร่างหน้าตาสมัยใหม่ ขัดกับภาพสักษณ์ของเมืองสุดๆ สะพานนี้คือ Constitution Bridge ซึ่งออกแบบโดย Santiago Calatrava สถาปนิกขวัญใจของผม น่าเียดาย พอเดินไปใกล้ๆ พบว่ามันสกปรกเเละเหม็นกลิ่นปัสสาวะมาก
สำหรับที่เวนิส ผมเลือกที่พัที่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก เพื่อความสะดวกในการลากกระเป๋าเดินทาง โดยที่พักผมจองผ่าน AIRBNB เป็นบ้านหลังเล็กๆริมคลองในย่าน Cannaregio ห่างจากสถานีไปราว 800 เมตร อาจจะเดินเหนื่อยนิดนึงเเต่ข้อดีคือ ไม่ต้องลากกระเป๋าขึ้นลงเรื่อ เเละบรรยากาศเงียบสงบ
เจ้าของเป็น Interior Designer ห้องเลยเเต่งเเบบจัดเต็มไปทุกอณู ห้องนั่งเล่น มีมุมให้พักผ่อน หลายมุม เพดานอาจจะเตี้ยไปนิด เเต่ผมว่ามันสวยดีเพราะโชว์โครงสร้างคานไม้
ห้องนอนมี2 ห้อง สีสันสุดๆ (ที่เตียงมีชอคโกเเลตเล็กๆวางไว้ให้ ยังกะ รร เลย)
ห้องครัวไม่ใหญ่ เเต่อุปกรณ์ครบครับ เเถมมีขนมกับไวน์ให้เป็นของขวัญด้วย
ปล เจ้าของซื้อขนมปังvenice biscottiไว้ให้ ลองกินดูอร่อยมาก ผมเลยไปเหมาจากซุปเปอร์มาเป็นของฝาก ผลสุดท้ายกินเองหมด ใครไปเที่ยว เเนะนำให้ซื้อครับ อร่อยดี เเถมไม่เเพงด้วย (ภาพจากgoogle ครับ)
ห้องน้ำสะอาด เรียบร้อบดีครับ สรุปที่พักที่นี่ดีงามพระราม8มาก
การเที่ยวเวนิสในครั้งนี้ต้องยกเครดิตให้คุณ ha-meow เเละคุณ ช้างน้อยคู่ช้างน้ำ เพราะทั้ง2ท่านรีวิวเวนิสไว้ดีมากกกก ผมอ่านเเล้วเลยต้องตามรอยมาดูของจริงบ้างเลย เนื่องจากวันนี้ ผมมีเวลาเที่ยวเวนิสเต็มๆทั้งวัน เลยเดินไปตั้งหลักที่ท่าเรือ Ferrovia ซึ่งตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟ ระหว่างเดินจากที่พักก็ผ่านซอกซอยต่างๆของเวนิส ซึ่งยามเช้าเเบบนี้ เเทบไม่มีคนเลย
แป๊ปเดียวก็ถึง Grand Canal ก็จะเห็นScalzi Bridge ซึ่งเป็น 1 ใน 4 สะพานที่ใช้ข้ามGrand Canal
เนื่องจากวันนี้เเพลนว่าจะเที่ยวหลายที่ เลยซื้อตั๋วเเบบ 1 day ticket ราคา 20 ยูโร สามารถนั่งเรือกี่รอบก็ได้ (ราคาโหดมาก) ซึ่งที่ท่าเรือ จะมีช่องให้เข้าเเยกกันระหว่างนักท่องเที่ยว กับคนท้องถิ่น ผมว่าเวิร์คนะ ระบบนี้ช่วยให้คนท้องถิ่นยังสามารถใช้ชีวิตโดยได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวได้น้อยลงนิดนึง
สำหรับเเนวเส้นทางเรือนั้น สายที่นักท่องเที่ยวจะได้ใช้เยอะหน่อยก็คือสาย 1 สาย 2เเละสาย4.1 ครับ โดยเเนวเส้นทางการเดินเรือจะเป็นตามเเผนที่ข้างล่างเลยครับ
สำหรับเเผนที่จุดที่ผมจะไปในเวนิส ก็เป็นตามเเผนที่ด้านล่างครับ กระจายทั่วเกาะเลย 555 (ซึ่งเชื่อไหวว่าผมเดินเอาซะเป็นส่วนใหญ่ นั่งเรือเเค่4เที่ยวเอง)
จากท่าเรือ Ferrovia ผมนั่งไปลงที่ท่าเรือ S. Marco ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีเวลามากนัก เเนะนำให้นั่งสาย 2 ครับ เพราะจะจอดน้อยกว่า เเต่ผมไม่รีบ เลยใช้วิธีอันไหนถึงก่อน ขึ้นอันนั้น ระหว่างนั่งเรือก็ยืน(เพราะเรื่อเเน่นมาก)ดูวิวไปเพลินๆ
เนื่องจากเรือจะเเล่นตรงเส้น Grand Canal ดังนั้นเราจึงมีโอกาสได้เห็นPalazzo สวยๆของเศรษฐีเวนิสสมัยก่อนหลายๆหลังเรียงกันไป เพราะเมื่อเทียบกับไทยเเล้ว การสร้างบ้านอยู่ริม Grand Canal ก็ให้อารมณ์เหมือนมีบ้านใน ซ หลังสวน ไรงี้ เเบบย่านคนรวย ซึ่งทำให้เเต่ละคนจัดเต็มกับFacadeของ Palazzo ชนิดไม่ยอมให้น้อยหน้ากันเลย อย่างเช่น Fondaco dei Turchi ซึ่งเดิมเป็นPalazzo ของตระกูล Pesaro ตกเเต่งด้วยเสา Corinthian ยาวขนานไปกับเเนวคลอง ซึ่งต่อมาที่นี่ได้กลายเป็นที่พักของเเขกบ้านเเขกเมือง เเละได้ให้พ่อค้าชาวตุรกีมาเช่าต่อ จนในปัจจุบันได้กลายเป็น Natural History Museum
Palazzo อีกหลังของตระกูล Pesaro ก็คือ Ca' Pesaro ซึ่งตกเเต่งในสไตล์ Venetian Baroque ไว้อย่างอลังการ เเต่ในปัจจุบันได้กลายเป็น Museum of Modern Artครับ
ซึ่งเอาจริงๆจากยืนบนเรือมันมีข้อดีคือเราสามารถเห็น Palazzoหลายๆหลังได้อย่างเต็มตา บางหลังยังมีร่องรอยการประดับตกเเต่งด้วยโมเสคทองอยู่เลย
ระหว่างชมวิวเพลินๆ เรือก็มาถึงสะพาน Rialto ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวลงจากเรือไปเยอะมาก
สำหรับสะพานRialto นั้นเดิมทีเป็นไม้ครับ เเต่ต่อมาสะพานไม้ได้พังลง จึงมีการประกวดออกแบบสะพานใหม่ ซึ่งผู้ชนะคือAntonio da Ponte ที่สามารถออกแบบสะพานให้ไม่ต้องมีเสาปักลงไปในคลองให้กีดขวางการเดินเรือ เเถมมีร้านค้าบนสะพาน เเละที่สำคัญยังสวยงามอีกด้วย ผลงานการออกแบบของ Antonio da Ponte จึงสามารถชนะคู่เเข่งหินๆอย่างMichelangelo หรือ Palladio ไปได้
หลุดจากสะพานRialto เราจะเห็นเวนิสในมุมที่คุ้นเคยกันในภาพถ่าย เพราะตากล้องมักมาเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นกันตรงสะพาน ส่วนผมขอเก็บภาพบนหัวเรือเเทนครับ
ถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นได้ว่าอาคารส่วนใหญ่ในเวนิสจะสร้างในสไตล์โกธิคเพราะเป็นช่วงที่เวนิสมีอิทธิพลมากสุด เเถมยังเจอกลิ่น Byzantine เเละ Moorish มาด้วย เพราะเวนิสเป็นเมืองค้าขาย นอกจากสินค้าเเล้ว วัฒนธรรมเเละKnow how ต่างๆ ก็มาพร้อมกับเหล่าพ่อค้าด้วย เรียกได้ว่าเป็นเมืองพหุวัฒนธรรมโดยเเท้
ช่วงปลายของGrand Canal เราจะเจออีกสะพานนั่นคือ Ponte dell'Accademia ซึ่งตั้งอยู่หน้า Gallerie dell'Accademia พิพิธภัณฑ์ชื่อดังของเวนิส ตอนเเรกผมดูในรูป นึกว่าเป็นสะพานโครงสร้างไม้ เเต่พอมาดูจริงๆ ในปัจจุบันเป็นสะพานเหล็กหุ้มไม้ครับ
หลังจากผ่านPonte dell'Accademia เเล้ว ก็จะถึงปากGrand Canal โดยตรงนี้ เราจะเห็น Basilica di Santa Maria della Salute ซึ่งเป็นวิหารสไตล์ Baroque โดยวิหารนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นการบูชาเทพในยุคที่กาฬโรคระบาดที่เวนิส ตัววิหารออกแบบโดย Baldassare Longhena สถาปนิกชาวอิตาเลียนผู้มีชื่อเสียงในยุคนั้น
สังเกตุดีๆจะเห็นว่าโคมไฟริมน้ำของเวนิสยังอุตส่าห์เป็นเเก้วสีชมพู บิ๊วความโรเเมนติคกันเหลือเกิ๊น
หลังจากนั่งเรือมาเพลินๆ เรือก็เข้าจองที่ท่า San Macro ครับ ท่านี้ทั้งคน ทั้งกอนโดล่าพลุกพล่านมาก
อีกหนึ่งมุมบังคับของเวนิส
เมื่อลงจากท่าเรือ ผมก็เดินตรงดิ่งมาที่ Piazza San Macro โดยตรงทางเข้านั้นจะมีเสาหินขนาดใหญ่ขนมาจากIstanbul (Constantinople) โดยยอดเสาหนึ่งมีรูปแกะสลัก St. Theodore อีกเสาหนึ่งเป็นสิงโตหินมีปีก สัญลักษณ์ของ St.Mark ซึ่งเป็น 2 นักบุญประจำเมืองวินิส (เดิมที St. Theodore เป็นนักบุญอยู่ก่อน เเต่พอทางเวนิสได้ร่างของSt.Mark มา ก็ยกSt.Markขึ้นเป็นนักบุญประจำเมืองเเทน St. Theodore ไปซะงั้น )
Piazza San Macro นั้นจะขนาบด้วย Palazzo Ducale หรือพระราชวังของผู้ปกครองเวนิส(Doge) เเละ Biblioteca Nazionale Marciana หอสมุดเก่าเเก่ของอิตาลี ในฝั่งของ Palazzo Ducale นั้น จะมีซุ้มโค้งโดยรอบ ซึ่งถ้าเราสังเกตุดีๆจะเห็นว่าหัวเสาเเต่ละต้นไม่เหมือนกันเลย โดยJohn Ruskin ยกให้Arcade Capital ของPalazzo Ducale เป็นหัวเสาอาเขตที่สวยที่สุดในยุโรปเลยทีเดียว
ความจริงทางเข้าหลักขอวังจะอยู่ติดกับBasilica di San Marco เเต่ระบบการจัดทางเข้าชม ให้เรามาเข้าตรงประตูฝั่งติดกับทะเล ซึ่งเมื่อเข้ามาจะพบลานกว้างซึ่งมองไปจะเห็น Arco Foscari ซึ่งเป็นซุ้มโค้งเชื่อมระหว่างทางเข้าหลักข้าง Basilica di San Marco ไปยังทางขึ้น Palazzo
สำหรับทางขึ้น Palazzo Ducale นั้นจะเรียกว่า Scala dei Giganti โดยเมื่อมีเเขกบ้านเเขกเมืองมาหา Dogeจะออกมายืนต้อนรับที่บันไดเเห่งนี้ ความคูลของDogeคือ จะยืนอยู่ชั้นบนสุดของบันได ให้เเขกเดินขึ้นไปหา ไม่ว่าเเขกจะใหญ่ขนาดไหนก็ตาม เพราะในยุคนั้นเวนิสเป็นเมืองที่ร่ำรวยเเละทรงอิทธิพลมาก Dogeจึงมีบารมีมากทีเดียว (เคยมีเหตุการ์ที่Pope กับ จักรพรรดิ์ของ Holy Roman Empire ทะเลาะกัน จน Doge ต้องใช้บารมี เชิญทั้ง2 มาเจรจากันที่ Palazzo Ducale)
สำหรับที่มาของการขึ้นเป็นผู้ปกครองนครเวนิส (Doge) นั้น มีที่มาโคตรซับซ้อน เเต่คุณช้างน้อยคู่ช้างน้ำ ได้อธิบายให้เข้าใจง่ายๆดังนี้ครับ
- เลือกผู้แทนจากสมาชิกสภาล่าง( Great Council ) ที่มีอยู่ 1000-1500 คน ให้เหลือ 30 คนโดยการสุ่มเลือก
- จาก 30 สุ่มเลือกอีกทีให้เหลือ 9
- ให้ 9 คนนี้เลือกผู้แทนมา 40 คน
- จาก 40 สุ่มเลือกให้เหลือ 12
- ให้ 12 คนนี้เสนอผู้แทนขึ้นมา 25 คน
- จาก 25 ลดเหลือ 9 โดยวิธีสุ่ม
- ให้ 9 เสนอชื่อ 45 คน
- จาก 45 ลดให้เหลือ 11 โดยวิธีสุ่ม
- ให้ 11 นี้เสนอชื่อ 41 (ทุกคนต้องอายุ 40 ปีขึ้นไป)
- 41 คนนี้เลือก 1คนขึ้นมาเป็น Doge โดยให้แต่ละคนให้คะแนน 40 คนที่เหลือได้สามแบบ คือ -1, 0, +1 เมื่อรวมแล้วคนที่ได้คะแนนสูงสุดชนะ แต่มีข้อแม้ว่าคนนั้นต้องได้มากกว่า +25 ถ้าได้ไม่ถึงต้องเริ่มต้นเลือกกันใหม่ กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนความแต่ละครั้งใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามวัน มีบางครั้งที่ใช้เวลาหลายเดือน
โดยกระบวนการคัดเลือกนี้ทำในวัง Palazzo Ducale อย่างเป็นความลับ มีการตั้งครัวหุงหาอาหาร และจัดที่หลับที่นอนให้กับผู้มีสิทธิ์เลือก 40 คนอยู่ในนั้น ไม่สามารถออกมาข้างนอกได้ แค่อ่านก็เหนื่อยเเทนเเหล่ว
เรามาชมPalazzo Ducale กันต่อดีกว่าครับ การเข้าPalazzo Ducale นั้นจะต้องเดินผ่าน Scala d’Oro หรือบันไดทอง โดยบริเวณเพดานจะเคลือยด้วยทอง24เค โชว์รวยเบาๆ
เมื่อขึ้นมาก็จะพบกับส่วนของDoge's Apartment โดยห้องเเรกที่เข้าคือ Atrio Quadrato ภายในห้องเเต่งเพดานด้วยงานไม้เเกะสลักเเละภาพวาดของ Tintoretto ชื่อ Justice Presenting the Sword and Scales to Doge Girolamo Priuli
ถัดมาจะเป็น Sala delle Quattro Porte (Hall of the Four Doors) โดย 4 ประตูนี้ จะนำไปสู่ห้องสำคัญๆ อย่างหอประชุมของเหล่า Collegio, Council of Ten รวมทั้งห้องรับรองแขกบ้านแขกเมือง
เดินไปเรื่อยๆจะเจอSala del Maggior Consiglio (Hall of the Great Council) ซึ่งเป็นโถงใหญ่อลังการมาก จากข้อมูลของคุณช้างน้อยคู่ช้างน้ำ ระบุว่าผนังหลังที่นั่งของ Doge จะมีภาพวาดParadise ของ Tintoretto อยู่ ซึ่งภาพนี้เป็นภาพวาดน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกขนาด 570 ตารางฟุต ในภาพมีพระเยซูและพระแม่มารีอยู่ตรงกลาง มีคนกำลังขึ้นสรวงสวรรค์ถึง 500 คนรายรอบอยู่ ภาพนี้ต้องการสร้างความรู้สึกของชาวเวนิสว่า การได้ขึ้นสวรรค์ไม่ใช่เป็นเพราะเป็นคริสเตียนที่ดี แต่เป็นเพราะว่าเป็นชาวเวนิสที่ดีมากกว่า นั่นคือให้เชื่อ doge มากกว่าเชื่อโป๊ป มีเรื่องเล่าว่าวันที่ Tintoretto วาดเสร็จ ลูกสาวของเขาเสียชีวิตพอดี เค้าจึงเติมลูกสาวไปในภาพวาดเป็นคนที่ 501
จากนั้นไกด์จะพาเราเดินไปชมส่วนที่เป็นคุกของ Palazzo Ducale ซึ่งระหว่างทางจะต้องผ่าน Bridge of Sighs อันโด่งดัง
เมื่อมองจาก Bridge of Sighs จะเห็นเป็นวิวเเบบนี้ครับ
ภายในคุกไม่มีอะไรให้ดูมากนัก อย่างว่า ก็คุกนี่เนออะ
จากนั้นเราก็จะได้ออกตรง Porta della Carta ซึ่งจริงๆเป็นทางเข้าหลักของ Palazzo Ducale ในอดีต
หลังจากชม Palazzo Ducale เเล้ว ดปรเเกรมถัดมาคือชม Basilica di San Marco ซึ่งอยู่ติดกันเลย โดยเดิมนั้นBasilica di San Marco เป็นโบสถ์ส่วนตัวของบรรดา Doge แต่ต่อมาได้ยกระดับกลายเป็นวิหารประจำเมืองเวนิส ซึ่งตัววิหารมีรูปลักษณ์ที่เเปลกตาในสไตล์ผสมผสาน Gothic + Moorish + Byzantine เนื่องจากในยุคนั้นเวนิสมีความใกล้ชิดกับทางคอนสเเตนติโนเปิลมาก
บริเวณArch หน้า Basilica di San Marco จะมีการประดับโมเสคเป็นเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวพันกับเมืองเวนิส โดยอันที่เด่นๆน่าจะหนีไม่พ้นโมเสคThe Transferal of St Mark's Relic to San Marco ซึ่งสร้างมาตั้งเเต่ปี 1265 โดยเป็นเรื่องราวตำนาน St Mark (หนึ่งในสาวก 12 คนของพระเยซู) ท่านได้ไปเผยแผ่ศาสนาและเสียชีวิตที่เมืองอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ เเละศพของท่าน ถูกเก็บอยู่ในวิหารคริสต์ที่อียิปต์ nต่อมาในคศ.ที่ 9 อียิปต์ก็มาอยู่ใต้การปกครองของอิสลาม ทำให้โบสถ์คริสต์ทั้งหลายถูกคุกคาม พ่อค้าชาวเวนิส 2 คนชื่อ Rusticus กับ Bonus ซึ่งเดินทางไปค้าขายที่อเล็กซานเดรียพอดี เเละได้เเวะแวะไปสักการะ St Mark เมื่อทั้งสองได้ยินท่านบาทหลวงแสดงความกังวลใจ ว่าทหารอิสลามอาจทำลายวิหารที่บรรจุศพ St Mark สองพ่อค้าเลยวางเเผนอัญเชิญ St Mark ไปไว้ที่เวนิส โดยตามเเผน สองพ่อค้าจะแอบเคลื่อนย้ายศพ St Mark กลางดึก เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวคริสต์ในอเล็กซานเดรียรู้แผนเข้า อาจทำให้เกิดการจลาจลแล้วเอาศพSt Mark ไปไว้ในหีบ แล้วเอาเนื้อหมูโปะข้างบนอีกทีเพื่อปิดบังจาก เจ้าหน้าที่ชาวอิสลามที่ทำหน้าที่ตรวจสินค้าก่อนออกนอกด่าน เมื่อเรือของสองพ่อค้าเดินทางมาเทียบฝั่ง ก็มีประชาชนชาวเวนิสมารอต้อนรับ St Mark มากมาย ทางเทศบาลเมืองตั้งใจว่าจะเก็บศพ St Mark ไว้ที่ Palazzo Ducale ทว่าระหว่างที่กำลังแห่ศพท่านเซ็นต์รอบจตุรัส จู่ๆโลงก็หนักอึ้งจนคนยกต่อไม่ไหว โหรหลวงเห็นเข้าจึงประกาศว่า นี่ต้องเป็นบัญชาสวรรค์จาก St Mark ที่ท่านต้องการให้เราฝังศพท่านที่ตรงนี่ ซึ่งที่ดังกล่าวต่อมาได้กลายมาเป็น Basilica di San Marco นั่นเอง
ส่วนโมเสคอันอื่นๆนั้นได้ถูกซ่อมเเซมขึ้นในภายหลัง ไม่ใช่ของOriginal เเละถึงจะไม่ออริจิ เเต่ก็อายุราว400-500ปีเลยทีเดียว
ด้านในของBasilica di San Marco ตกเเต่งด้วยโมเสคทองเต็มทั้งเพดาน เเละมีการจัดเเสดงของมีค่าหลายอย่าง เเต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปหลังจากผ่านประตูเข้าไป จึงมีภาพมาฝากเเค่ตรงทางเข้าครับ
บริเวณชั้น2 ของBasilica di San Marco จะมีจุดออกมาชมวิว Piazza San Marco
ตรงระเบียงเป็นที่ตั้งของม้าบรอนซ์(จำลอง)ที่เวนิสไปยึดมาจากคอนสเเตนติโนเปิล เเล้วถุกฝรั่งเศสยึดต่อ เเล้วค่อยไปทวงคืนมาได้ โดยของจริงตั้งอยู่ภายในวิหารตรงชั้น 2 ครับ
มองย้อนไปตรงทะเลจะเห็น Piazza San Macro เเละเสาหิน St. Theodore กับ St.Mark ซึ่งตามความเชื่อ จะไม่ให้เดินตรงกลางระหว่างเสา เพราะเดิมใช้เป็นที่ประหาร เเต่ในตอนนี้ นักท่องเที่ยวเดินกันพรึ่บ
ช่วงบ่าย ผมหาข้อมูลจากyelp พบว่าเเถวๆ Piazza San Macroมีร้านอาหารที่คนเเนะนำอยู่ร้านนึง จึงไปลองทานดู กินเเล้วเฉยๆเเฮะ คือไม่ดี ไม่เเย่ เเอบผิดหวังเพราะปกติกินตามyelp มักดี
จากนั้นก็กลับไปที่ท่าเรือครับเดี๋ยวเราจะนั่งเรือข้ามฟากไปชมวิวมุมสูงของเวนิสกัน
ผมขึ้นเรือข้ามจากท่า S. Zaccaria ไปยัง S. Giorgio ซึ่งเป็นเกาะใกล้ๆกัน ระหว่างนั่งเรือ จะเห็นเวนิสมุมกว้าง
เรือมาจอดที่ท่า S. Giorgio ซึ่งตั้งอยู่หน้าChurch of San Giorgio Maggiore ตอนที่ผมไปมีนักเรียนมาทัศนาจรพอดีเลย
สามเหตุที่มาที่นี่ก็เพราะที่หอระฆังของ Church of San Giorgio Maggiore มีจุดชมวิว เเละที่สำคัญคือมีลิฟท์ครับ ไม่ต้องปีนบันไดให้เหนื่อย ขึ้นลิฟท์เเป๊ปเดียว วิวเเบบนี้ก็อยู่ตรงหน้า
เมื่อมองจากด้านบนจะเห็นได้ว่าทั้ง Piazza San Macroเเละ Bridge of Sighs คนเยอะมาก จนกลายเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวโดนล้วงกระเป๋าอยู่เป็นประจำ
น่าเเปลกที่ที่นี่คนน้อยกว่าที่คิด ตอนผมไปมีอยู่บนยอดไม่ถึง 10 คน
หลังจากชมวิวมุมสูงเเล้ว พี่เเละพ่อ จขกท ก็หมดเเรง ร้องจะกลับที่พัก จึงนั่งเรือกลับยังที่พักก่อน ซึ่งขากลับก้กลับทางเดิมผ่านGrand Canal ก็เลยได้ชมบ้านเรือนรอบๆGrand Canal อีกครั้ง
Ca' d'Oro ซึ่งปัจจุบันคือ Galleria Franchetti นั้นเป็น Palazzo ในสไตล์ Venetian Gothic อันเป็นการผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบ Gothic + Moorish + Byzantineไว้ด้วยกัน เดิมที Palazzo นี้ทาสีฟ้า-แดง เเละเเต่งด้วยทอง 24K นึกภาพไม่ออกเลยทีเดียว
หลังจากพาพ่อ เเละพี่สาวไปส่งที่ห้องเสร็จ ผมก็ย้อนมาเดินเล่นอีกรอบ คราวนี้เลือกลงที่ท่า Rialto
ยามเย็นร้านอาหารต่างๆเริ่มนำเก้าอี้มาตั้ง บรรยากาศโรเเมนติคดีเเฮะ
เป้าหมายของผมคือจะไปชม Facade ของ Santa Maria dei Miracoli ซึ่งภายนอกตกเเต่งด้วยหินอ่อนสีหวาน ความจริงอยากเข้าชมด้านใน เเต่เหมือนมีการจัดงานอยู่ เลยเลือกที่จะเดินไปที่อื่นต่อดีกว่า
ถัดมาคือSanti Giovanni e Paolo
ติดกับ Santi Giovanni e Paolo จะเป็นScuola Grande di San Marco เเต่งFacade ได้สวยหวานมากเเถมมีการตัดหินอ่อนหลอกตาเป็นมุมperspectiveด้วย
ผมเดินเล่นเรื่อยเปื่อยจนไปจบที่St. Mark's Square เลยได้บรรยากาศยามค่ำคืนมาให้ชมครับ
วันรุ่งขึ้นผมมีเเพลนจะเดินเก็บตกตามสถานที่ต่างๆในเวนิส เเต่พ่อกับพี่ขอบายนอนเล่นที่ห้อง ผมเลยเลือกที่จะเดินเอาซะเลย (ตอนเเรกคิดว่าไกล เเต่เอาจริงๆเดินได้เรื่อยๆนะ)
ที่เเรกที่ไปคือ Basilica of Santa Maria Gloriosa dei Frari
สาเหตุที่ดั้นด้นมาที่นี่ก้เพราะอยากมาชมภาพAssumption of the Virgin ของ Titian ซึ่งตั้งอยู่กลางโบสถ์ โดยภาพนี้เป็นภาพที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Titian เเละยังเป็นต้นเเบบในการวาดของศิลปินในยุคต่อๆมาเพราะองค์ประกอบเเละdynamic ของภาพมันเร้าอารมณ์ของผู้ชมมาก
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีผลานของเหล่าเทพทางงานศิลป์ไม่ว่าจะเป็น รูปไม้แกะสลัก St. John the Baptist โดย Donatello
Triptych of the Virgin and Saints ของ Giovanni Bellini ซึ่งในภาพนี้ Bellini ใช้ฝุ่นทองเป็นตัวลงสีในภาพ ทำให้ภาพมีมิติมลังเมลืองเหมือนพระเเม่มารีนั่งอยู่ในซุ้มที่เว้าเข้าไปจริงๆ
ตามAltar ต่างๆก็มีงานของศิลปินเทพๆอีกมากมาย เรียกได้ว่ามาที่นี่เดินดูกันเพลินเลยครับ
นอกจากงานของเหล่าเทพเเล้วที่ Basilica of Santa Maria Gloriosa dei Frari ยังเป็นเเท่นฝังศพของเหล่าปารมาจารย์ทั้งหลายด้วย อย่างเช่นหลุมของTitian ซึ่งถ้าเดินจากประตูทางเข้าโบสถ์ หลุมศพของ Titian จะอยู่ด้านขวามือ ที่ตัวมีภาพแกะสลักหินอ่อน จำลองภาพ Assumption of the Virgin ตั้งอยู่
ส่วนอันนี้เป็นหลุมศพของ Antonio Canova ประติมากรนีโอคลาสสิคชื่อดังในช่วงปลายปี 1700 โดยเดิมที Canova ออกแบบให้เป็นหลุมของ Titian เเต่ท้ายที่สุดได้ใช้เองซะนี่
นอกจากนี้ยังมีหลุมสวยๆอีกหลายอันเลยครับ
ติดกับBasilica of Santa Maria Gloriosa dei Frari จะเป็น Scuola Grande di San Rocco ตามที่คุณha-meow อธิบายนั้น สมาคมนี้จะเป็นสมาคมที่ชาวเวนิสในอดีตตั้งขึ้นเพื่อทำบุญ จัดพิธีมิซซา หรือพิธีกรรมอื่นๆร่วมกัน โดยสมาคมจะเก็บเงินค่าสมาชิกตามรายได้ ยิ่งรวยยิ่งต้องจ่ายแพง แล้ว Scuola จะนำเงินเหล่านั้นไปลงทุน กำไรที่ได้จากการลงทุนก็จะนำมาช่วยเหลือสมาชิก นั่นคือถ้าสมาชิกหรือครอบครัวเจ็บไข้ได้ป่วย Scuola จะช่วยออกค่ารักษาให้ ถ้าเสียชีวิต Scuola ก็จะจัดงานศพให้ รวมถึงค่าสินสอดยามที่ลูกของสมาชิกจะแต่งงาน ในเวนิสมี Scuola จำนวนมาก แต่มี Scuola ระดับบนๆจะเรียกว่า Scuola Grande มีเพียงแค่ 6-7 เจ้าเท่านั้นโดย Scuola Grande จะต้องมีสมาชิกอย่างต่ำ 500 คน และมีสิทธิส่งตัวแทนไปร่วมประชุมสภาเวนิสด้วย
Scuola Grande di San Rocco ถือว่าเป็นScuola ระดับ Scuola Grande การสมัครสมาชิกนั้นถือว่ายากมาก ตัว Tintorettoเองสมัครไปก้โดนปฎิเสธกลับมา ต่อมาเมื่อ Scuola Grande di San Rocco จัดการประกวดภาพเพื่อประดับเพดานบอร์ดรูมของสมาคม ก็มีศิลปินชื่อดังมาร่วมประกวดมากมาย รวมทั้ง Tintoretto ด้วย แต่ในขณะที่ศิลปินคนอื่นส่งมาแต่ภาพสเก็ตช์ Tintoretto กลับมาพร้อมภาพสีน้ำมันที่วาดเสร็จแล้ว พร้อมติดตั้งได้ทันที ซึ่งศิลปินคนอื่นเห็นเข้าก็โวยวายว่า Tintoretto เล่นขี้โกง ฝั่ง San Rocco ก็รีบออกตัวว่าเราคงซื้องานของคุณไม่ได้ห Tintoretto ก็บอกว่าจะยกรูปให้ฟรีๆเนื่องจากScuola Grande di San Rocco เป็นสมาคมเพื่อการกุศล จึงมีกฎห้ามปฎิเสธของบริจาคทางสมาคมเลยต้องจำใจรับภาพของ Tintoretto ไว้ตามระเบียบ เเละนี่คือภาพของSt Roch ที่ Tintoretto ยกให้สมาคม
ต่อมา Tintoretto อาสาวาดรูปScuola Grande di San Rocco ฟรีๆ จนทำให้ทางสมาคมยอมรับ Tintoretto เป็นสมาชิก จนได้ ดังนั้นภายในสมาคมจึงเหมือนเป็นห้องจัดเเสดงผลงานของ Tintoretto ไปโดยปริยาย
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เเต่ในเมื่อมาอิตาลีทั้งที ผมเลยเลือกที่จะกินเจลาโต้เป็นมื้อกลางวัน ซึ่งคราวนี้จัดไป2 โคนจาก2ร้านคือ GROM กับVenchi สำหรับ GROM ผมชอบมากอยู่เเล้ว กินกี่ทีก็ไม่ผิดหวัง (ใครก็ได้ เอามาเปิดในไทยที)
ส่วน Venchi พอลองเเล้วก็ไม่ผิดหวังครับ อร่อยไม่เเพ้กันเลย ฟินมาก กินเจลาโต้ไป เดินชมเมืองไป
สถานที่ถัดไปที่ผมจะไปคือ Palazzo Contarini del Bovolo ซึ่งมีบันไดเวียนสวยๆอยู่ เเต่ที่นี่ทางไปวกวนเเถมอยู่ในหลืบสุดๆ กว่าจะถึงเล่นเอางงไปหลายรอบ
ทางเข้าPalazzo Contarini del Bovolo เป็นซอยเล็กๆเเบบนี้เลยครับ
สาเหตุที่มา ก็ไม่มีอะไรมากเลย อยากมาถ่ายรูปบันไดวนของที่นี่
ใครที่สนใจจะเข้าชม ที่นี่มีค่าเข้า 7ยูโรครับ เอาเข้าจริงๆ นอกจากบันไดวนเเล้วไม่ค่อยมีอะไรนะ เรียกได้ว่าถ้าไม่มา ก็ไม่เสียดายเท่าไรครับ
วิวมุมสูงที่นี่ผมว่าสู้ที่ Church of San Giorgio Maggiore ไม่ได้
Check List สุดท้ายของ Venice ที่ผมจะไปก็คือ Church of Madonna dell'Orto
เดินเล่นเพลินๆจากPalazzo Contarini del Bovolo ไม่นานก็ถึงครับ เดิมทีChurch of Madonna dell'Orto สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้ St Christopher บนประตูโบสถ์เลยมีรูปสลักของ St Christopher อยู่ แต่ภายหลังมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า ตรงสวนของโบสถ์มีรูปปั้นพระแม่มารีศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถช่วยรักษาโรคร้ายได้ จึงมีการอัญเชิญรูปปั้นดังกล่าวมาไว้ในโบสถ์ เลยเป็นที่มาของชื่อ Madonna dell'Orto (Madonna of the Garden)
สำหรับที่นี่ที่มาเพราะตามรอยคุณ ha-meow บอกว่ามีภาพของ Tintoretto อยู่หลายภาพ เพราะบ้านของ Tintoretto อยู่ใกล้กับโบสถ์นี้ เเกจึงมาวาดภาพตกแต่งโบสถ์ให้ฟรีๆโดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือ ขอให้หลุมศพของแกและครอบครัวได้มาฝังรวมกันที่โบสถ์นี้
Presentation of the Virgin in the Temple ซึ่งเเขวนไว้ภายในโบสถ์นี่ก็เป็นฝีมือของTintorettoครับ
ภายในโสถ์เเทบจะมีเเต่งานของ Tintoretto เลยทีเดียว
จากนั้นผมก็กลับที่พัก เพื่อเตรียมตัวนั่งรถไฟต่อไปเยอรมันครับ ขอจบรีวิวVenice ไว้ที่ คห นี้นะครับ ไว้เจอกันใหม่ที่กระทู้พาเที่ยวเยอรมันครับผม