รีวิว เกาะกูด 3 วัน 2 คืน @Cham's house

วันที่เขียน 29/03/2020
ยอดเข้าชม

394

รีวิว เกาะกูด 3 วัน 2 คืน @Cham's house

วันที่เขียน

29/03/2020

ยอดเข้าชม

394

เขียนโดย กานต์•เดิน•ทาง

ชอบเที่ยว รักการเดินทาง เพราะทุกการเดินทาง ทำให้กานต์ได้เปิดโลกอีกใบหนึ่ง

สถานการณ์โควิดแบบนี้ เชื่อว่าทุกคนคงเครียด กังวล และต้อง Cancel ทริปต่างๆออกไป รวมทั้งต้อง Work from home และ Travel from home กันเป็นแถบๆ

วันนี้เลยขออาสา พาไปเที่ยวเกาะกูด มาดูกันนะคะว่ามันจะกู๊ดขนาดไหน เพื่อหาแรงบันดาลใจไปเที่ยว ตอนที่สถานการณ์ดีขึ้น

ดูเป็นคลิปเลยแล้วกัน ♥️

สำหรับทริปนี้ จริงๆ เราใช้เวลาทั้งหมด 4 วัน 3 คืน เริ่มต้นจากกรุงเทพฯ แล้วไปนอนค้างที่จันทบุรีก่อน จากนั้นจึงไปค้างบนเกาะกูดต่ออีก 2 คืน ทริปนี้เราเดินทางช่วง 14 - 17 มีนาคม ถ้าพร้อมแล้วเกาะล้อตามมาเล้ยย !!

รูปช่วงแรกอาจมีการแต่งภาพ แต่ช่วงเกาะกูดจะเป็นภาพเรียลๆจากกล้อง Gopro 7 และ Sony ทั้งหมดไม่ผ่านแอพ เพื่อความชัดเจนของรูปและบรรยากาศนะคะ


วันแรก : 14 มีนาคม

เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ช่วงแปดโมงเช้ามุ่งตรงไปสู่ระยอง ระหว่างทางแวะปั๊ม ซื้อขนมไปเรื่อยเปื่อย จนประมาณ 11 โมงเริ่มหิวค่ะ เลยแวะร้าน เด็ดเอร็ดคั่วไก่ไฟมังกร จ.ระยอง ทางร้านขายแค่ 2 เมนูคือก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่กับเล้งแซ่บแต่คือ รสชาติดีและคนเยอะมาก


ร้านเด็ดเอร็ด

ร้านจะเปิดเฉพาะวันพฤ-อา. เวลา 09.00-14.00 น.เรียกว่า เปิด 4 วัน 5 ชั่วโมง/วันก็ว่าได้

ราคาคือไม่แพง แถมรสชาติคือดีมาก จานนี้คือคั่วไก่+หมึกกรอบ

ส่วนเล้งทางร้านจะใช้เป็นพริกแห้ง คือแซ่บ ซู้ดด~~

ส่วนที่ชอบสุดน่าจะเป็นเบคอน ไข่อบ เพราะกลิ่นเบคอนหอมมากเข้ากับก๋วยเตี๋ยวคั่วเป็นอย่างดี ตัดเลี่ยนด้วยเล้งแซ่บ พิมไปหิวไปอีกแล้ว 😋


วัดปากน้ำแขมหนู

พอกินเสร็จ เราก็ออกเดินทางกันต่อเพื่อไปจันทบุรี จุดหมายต่อไปของเราคือ วัดปากน้ำแขมหนู หรือโบสถ์สีน้ำเงินนั่นเอง

ขนาดไปวันเสาร์ แต่ก็รู้สึกได้ว่าคนน่าจะน้อยกว่าปกติ ขนาดยังไม่มีนโยบายปิดสถานที่ใดๆ แต่บรรยากาศดูไม่คึกคักเท่าไหร่


ชุมชนริมน้ำจันทบูร

ช่วงบ่ายสามเราแวะไปหาของกินกันต่อที่ชุมชนริมน้ำจันทบูร

ไม่แน่ใจว่าเพราะโควิด-19 รึเพราะเรามาช้าบรรยากาศในตลาดเลยเงียบเหงา เราได้มีโอกาสชิม น้ำมะปี๊ด ขนมปังสังขยาจากร้านจันทบุรีเบเกอรี่ แล้วก็ไอติมจรวด ขอบอกว่าอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ 


อ่างเก็บน้ำห้วยตาโบ

ดูจากเวลาจะห้าโมงเย็นแล้ว ได้เวลาเข้าที่พักกันเถอะ แต่ระหว่างทางผ่านอ่างเก็บน้ำห้วยตาโบหรือปางอุ๋งจันทบุรี มีเหรอที่เราจะพลาด

บรรยากาศดี เงียบสงบ คือถ้ามากางเต็นท์ช่วงหน้าหนาวต้องฟินมากแน่ๆ

ไม่มี ค่าใช้จ่าย นะคะ ค่าจอดรถก็ไม่มี แต่เต็นท์ต้องเอามาเอง ไม่มีค่าเช่าพื้นที่ ทุกอย่างคือฟรี แถมมีห้องน้ำไว้ให้บริการ ตอนเย็นๆถ้านั่งกินหมูกะทะต้องฟินมากแน่ๆ 


ที่พักลิคูล่า (Licuala)

ดื่มด่ำมาพอสมควร เราขับรถต่ออีก 15 นาทีก็มาถึงที่พักของเราคืนนี้ค่ะ

ที่พักเราชื่อว่า Licuala-ลิคูล่า คือชอบมากๆ ตอนแรกที่จองก็กลัวๆ นะคะว่า 990/คืน/2 คน รวมอาหารเช้าจะออกมาเป็นยังไง แต่ดูจากบรรยากาศสิคะ

เห็นป่าๆ แบบนี้ที่จริงติดถนน จากถนนใหญ่เข้ามาประมาณ 700 เมตรก็ถึงที่พักแล้ว

มันดีมาก ธรรมชาติ และคุ้มมากๆ ย้ำนะคะ ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับที่พักแต่มันถูกและดีจนอยากบอกต่อ

ที่นอนกว้างมาก ด้านข้างเป็นกระจกบานใหญ่ อีกด้านมีโซฟาปรับนอนได้ด้วย นอน 3 คนยังสบายๆเลย

ตอนเย็นมีบริการหมูกะทะด้วย ชุดละ 250.-/2 คนกำลังพอดี กับชุดละ 350.- คือแบบอยู่แค่ที่พักก็ฟินแล้ว ส่วนตอนเช้ามีข้าวต้มกุ้งให้อีกคนละชาม แถมอร่อยด้วย


วันที่สอง : 15 มีนาคม

เช้านี้เราออกจากที่พักประมาณ 9 โมงเช้าค่ะ เพื่อไปท่าเรือแหลมศอกต่อ ระหว่างทางเราทำการบ้านมาแล้วว่าต้องแวะกินก๋วยเตี๋ยวปูสุขุมวิท


ก๋วยเตี๋ยวปูสุขุมวิท

บรรยากาศร้านดูเปิดมานาน ดูขลังและรับรู้ได้ว่าอร่อย 555 มีรูปดาราติดเต็มผนัง แถมได้รางวัลจากวงในด้วย เมนูแนะนำทางร้านคือข้าวผัดพริกเกลือ เราเลยสั่งข้าวผัดพริกเกลือกั้ง บอกเลยว่าเด็ด

ส่วนอีกชามคือ เส้นปลาทะเลน้ำใส ยกมาให้ทั้งทะเลเล้ยย~


ท่าเรือแหลมศอก

กินอิ่มเราก็ไปต่อกันที่ท่าเรือแหลมศอก การไปเกาะกูดครั้งนี้เราใช้บริการของ SuperJet Ferry 

SuperJet Ferry การันตีว่าใช้เวลาน้อยที่สุดเพียง 45 นาทีเท่านั้น ราคาเที่ยวละ 500 บาท รวมบริการรถรับ-ส่ง ถึงรีสอร์ท เรือจะมีไป-กลับวันละเที่ยว ขาไปจากแหลมศอก-เกาะกูด เวลา 12.45 - 13.30 น.

เรือลำใหญ่เป็นแบบ 2 ชั้น จุคนได้ถึง 300 กว่าคน

บรรยากาศที่นั่งเหมือนอยู่ในโรงหนัง แล้ววันนี้คือคนก็น้อยมากๆ จนน่าตกใจ

วันนี้เรือออกช้าไปครึ่งชั่วโมง ทำให้เรามาถึงเกาะกูดตอนบ่ายสอง จากนั้นจะมีรถสองแถวรอเรียกเราให้ขึ้นไป พร้อมไปส่งถึงหน้า Cham’s house resort เลยคร่าาาา


Cham’s house resort

เมื่อเรามาถึงเกาะกูดจะมี จนท.ถามว่าพักที่ไหนแล้วพาไปขึ้นรถเพื่อไปส่งถึงรีสอร์ท ระหว่างทางจะแวะส่ง ลค.ตามรีสอร์ทไปเรื่อยๆ แล้วแต่ความใกล้-ไกล

วันนี้คนน้อย เราใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึง Cham’s house แล้ว

บริเวณ check in เป็นแบบ open air และเป็นบริเวณเดียวกับที่ใช้ทาน breakfast เลยค่ะ สำหรับน้ำ welcome drink จะเป็นอัญชันมะนาว เสิร์ฟมาบนถาดไม้ มีตราของโรงแรม

ข้างๆ Lobby มีสระว่ายน้ำ แต่ว่าเราไม่ได้มาใช้บริการเลย เพราะว่ายแต่ที่ห้อง

ห้องพักที่ Cham’s house ตลอด 3 วัน 2 คืนของเราเป็น room type : Tropical pool villa ห้องหมายเลข 106

ที่ห้องจะมีต้นไม้บังสระ เลยเอาโดรนขึ้นไม่ได้ ถ้าอยากได้ห้องโล่งๆ ไม่มีอะไรบัง แนะนำเป็นโซน Beach front pool villa ด้านหน้า แถบๆ ห้อง 101,102,103 ซึ่งราคาก็สูงขึ้นมาอีกหน่อย แต่เหมาะกับคนที่อยากตื่นมาเห็นทะเล แล้วสั่งเป็น Set menu มาทานในน้ำด้วยยิ่งดีงามม


ภายในห้องพัก

มาดูด้านในห้องกันบ้าง ตัวห้องจะเป็นทรงแปดหลี่ยม มีกระจกรอบ 180 องศาเปิดออกไปเจอสระ บนหัวนอนจะเป็นโต๊ะทำงาน แต่เราเอาไว้กิน Snack แทน 55

สำหรับ snack ทุกอย่างทานได้ฟรีหมดเลยนะคะ แล้ว พนง.จะคอยเอามาเติม

น้ำในตู้เย็นก็เช่นกัน ทานได้หมดเลย

ยังไม่หมดมีเครื่องชงกาแฟให้อีกด้วยยย

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ช่วง 17.00 - 18.00 จะเป็น Happy Hour เราสามารถไปรับเครื่องดื่มได้ฟรี 1 แก้วที่ห้องอาหาร bombyx beach หน้าหาด

อีกหนึ่งจุดที่รู้สึกว่าใหญ่มากภายในห้องพักก็คือ ห้องน้ำค่ะ ดูโล่ง โปร่งมาก

แต่วันที่เราไปพัก น้ำไม่ไหล 2 ชั่วโมง พอน้ำมาปรากฎว่าเครื่องทำน้ำอุ่นไม่ร้อนเลย แต่เราชอบอาบน้ำเย็นอยู่แล้วเลยไม่ซีเรียส แต่ข้อเสียที่เห็นชัดคือ ถ้าอาบน้ำฝักบัว แล้วเปิดน้ำก๊อก มันจะแย่งน้ำกันเอง

มุมที่น่าจะเป็นไฮไลท์ก็คือ อ่างอาบน้ำแบบ out door

ถ้ามาหน้าฝนคิดว่าไม่น่าใช้บริเวณอ่างนี้ได้นะคะ

ช่วงที่น้ำยังไม่ไหล เราก็มาเล่นน้ำในสระรอไปก่อนค่ะ


ดูพระอาทิตย์ตก

ตอนนี้เวลาเกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว เราตั้งใจจะไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกกับเปลตาข่ายที่ Rest sea resort จึงตัดสินใจไม่ไปกิน happy hour แต่เช้ารถมอเตอร์ไซค์แทน ราคา 300/วัน เอามาคืนพรุ่งนี้เวลาเดียวกับตอนที่เราเช่าค่ะ เท่าที่เห็นบนเกาะจะใช้เป็น Honda click นะคะ

ถึงแล้วค่ะ จอดรถไว้ข้างๆรั้วโรงแรม แล้วเดินเข้าไปที่หน้าหาดได้เลย เป็นพื้นที่สาธารณะ

ตั้งใจว่าถ้ามา เปลตาข่าย 3 อันต้องอยู่ในน้ำ เราต้องเดินลุยน้ำลงไปแบบที่เห็นในรีวิวแน่ๆ แต่ปรากฎว่า...

แห้งเลยค่ะ 5555 ไม่แน่ใจเกี่ยวกับช่วงเวลาเช้า-เย็น รึข้างขึ้น ข้างแรม จะมีผลต่อระดับรึป่าว วานผู้รู้มาบอกที แต่คนน้อยมากเรียกได้ว่าไม่มีคนแย่งถ่ายรูปเลย 


ร้านนุชชี่ ซีฟู้ดด

หันมาดูนาฬิกาอีกทีก็ราวๆ หกโมงเย็นแล้ว เราเลยขับรถต่อไปอีกประมาณ 10 นาที เพื่อไปกินข้าวเย็นที่ร้านนุชชี่ ซีฟู้ดด เดินเข้าไปสุดทาง ร้านจะอยู่ซ้ายมือที่มีไฟริบๆ ตรงโน้นน~

จากที่อ่านในพันทิปมีหลายคนแนะนำร้านนี้ เราเลยอยากลองมาชิม กะว่ารอนานแน่ๆ ปรากฎว่าคนน้อยจนน่าตกใจ

ระหว่างรออาหาร ผ่านไปสัก 15 นาที ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง

มา 2 คนเราเลยสั่งแค่ 3 อย่าง ถ้ามาหลายคนน่าจะคุ้มนะคะ ตัวข้าวผัดทะเล จานเล็ก 100 บาท 2 คนกินไม่หมดจริงๆ ค่ะต้องห่อ

ส่วนยำปูม้า รสชาติแซ่บ และปูก็สดมากๆ

จานสุดท้ายเป็นแกงคั่วสัปปะรดใส่กุ้ง ใช้กุ้งลายเสือตัวใหญ่ๆ ใส่มาแบบเน้นๆ  รสชาติอร่อยอีกแล้ว แต่เมนูนี้กุ้งแอบสุกเกินไปนิดนึง ทำให้เนื้อกุ้งดูแข็งๆ ไม่เด้ง แต่ช่วงโควิดแบบนี้มาสุกๆ อย่างงี้ได้เลย ไม่เกี่ยง (แต่สั่งยำปูม้าเนี่ยนะ) 555

กินเสร็จ เช็คบิลประมาณทุ่มกว่าๆ จะบอกว่ามืดมาก โชคดีที่มีเพื่อนโต๊ะอื่นคิดเงินพร้อมกัน เลยได้ขี่มอไซค์ตามๆกันมา 3 คัน ถ้าใครขี่รถไม่แข็งไม่แนะนำให้ขี่ตอนกลางคืนนะคะ เพราะบางช่วงไม่มีไฟถนน ต้องอาศัยไฟหน้ารถตัวเอง และทางบางเป็นช่วงขึ้นๆ ลงๆ ตามเขา แต่ถ้าเป็นตอนกลางวันถือว่าขี่มอไซค์แบบสบายๆ มากค่ะ เพราะถนนรอบเกาะเป็นคอนกรีต สำหรับคืนนี้ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ 🧡


วันที่สาม : 16 มีนาคม

อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่ 2 บนเกาะกูดจ้า วันนี้เราตั้งใจจะชิลๆ แว้นไปเที่ยวตามหาดต่างๆ และเที่ยวน้ำตก อาหารเช้าที่จามส์ เฮาส์ จะมีเป็นข้าวและกับข้าวแบบไทยๆ พวกผัดผัก ต้มจืด และก็มีสลัดผัก Omelet ไข่ดาว ขนมปัง ผลไม้ อาหารไม่เยอะ ไม่น้อย ส่วนรสชาติสำหรับเราถือว่ายังกลางๆ อันนี้แล้วแต่คนชอบเนอะ ผักและมะเขือเทศตรงโซนสลัดเหมือนล้างไม่สะอาดเท่าที่ดูมาทั้ง 2 วัน แต่รวมๆ ก็ให้ 8/10 ละกันเนอะ

หลังจากกินเสร็จเราก็ออกแว้นกันค่ะ จุดหมายแรกวันนี้คือหาดคลองเจ้าซึ่งมีต้นมะพร้าวสองต้นยื่นไปในทะเล

ถ่ายย้อนแสงรูปอาจมืดหน่อยนะคะ แต่ทะเลใส และสวยมาก หาดนี้คลื่นไม่แรงเหมือนหาดหน้าโรงแรม มาดูกันค่ะ สวยและใสขนาดไหน

หาดทรายขาวมาก น้ำคือใสจริงๆ และเงียบสงบ ส่วนตัวชอบหาดนี้ที่สุดเพราะดูไม่วุ่นวาย น้ำสีฟ้าตัดกับทรายสีขาวคือดีมากๆ แถมวันนี้วันจันทร์ยิ่งไม่มีคนเข้าไปใหญ่ เหมือนทั้งหาดเป็นของเรา

จากหาดคลองเจ้าเราขี่มอไซค์ขึ้นไปต่อกันที่น้ำตกคลองเจ้าค่ะ แต่เนื่องจากไม่ใช่หน้าฝนก็ต้องลุ้นกันว่าจะเจอน้ำตกมั้ย

จอดรถมอเตอร์ไซค์ แล้วเดินเข้าไปอีก 400 เมตร ไม่มีค่าเข้านะคะ แล้วแต่จะบริจาคใส่กล่อง

แท่น แท๊นน และแล้วก็ไม่มีน้ำตกเลยค่ะ T_T สงสัยมาผิดฤดู

แถมวันนี้แดดแรงจนเราสู้ไม่ไหว เลยขอหนีไปหามื้อกลางวันกินดีกว่า เพื่อนที่เคยมาเกาะกูดแนะนำว่า ร้านส้มตำป้าแปวเด็ดมาก เป็นเจ้าเดียวในเกาะกูดที่ใช้ปูหนุมาน ไม่รอช้าเราไปตามหาร้านกันค่ะ search GPS หาก็ไม่เจอต้องถามชาวบ้านเอา 555

ร้านมีลักษณะเป็นเพิงๆ จากน้ำตกคลองเจ้าขับไปอีกไกลพอสมควร ขับตามถนนไปเรื่อยๆจนสุดทาง แล้วเลี้ยวขวามาทางแยกคลองมาส หรือ search หาว่า somtam kiosk ร้านเดียวกันค่ะ เราเพิ่งมารู้ทีหลัง

จานนี้ซุปหน่อไม้ใส่ปูหนุมาน

ส่วนจานนี้ตำแตงปู-ปลาร้า ใช้ปูหนุมานเช่นกันค่ะ

สุดท้ายไก่ย่างค่ะ ชอบสุดเลย เพราะหมักมานุ่มดี

ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆ นะคะ อาจเพราะอยู่กรุงเทพฯ เรามีโอกาสได้กินส้มตำหลายที่ ถ้าใครไม่ใช่สายส้มตำขนาดนั้นแนะนำให้ข้ามร้านนี้ไปได้เลย เพราะจากน้ำตกคลองเจ้ามาค่อนข้างไกล ส่วนปูหนุมานรสชาติเค็มๆ แต่ไม่มากเท่าปูนา ไม่เหม็นคาว พอทานคาวเสร็จก็ต้องไปต่อของหวาน เราเลือกไปกันที่ร้านนมข้นสเตชั่นค่ะ


ร้านนมข้นสเตชั่น

นมข้นสเตชั่น เป็นร้านเครื่องดื่มและขนมหวานเล็กๆ ที่มีมุมตกแต่งเก๋ๆ น่ารักดูอบอุ่น และวันนี้ที่เราไปเหมือนเหมาร้านอีกแล้วค่ะ ไม่มีลูกค้าเลย หามุมถ่ายรูปได้ตามใจฉันมาก

สำหรับเครื่องดื่มที่เราสั่งคือกาแฟปั่น และขนมเป็นแพนเค้กมะม่วงกับไอศกรีมกะทิ คืออร่อยๆๆอะ ร้อนๆมาเจอขนมหวานกับกาแฟเย็นเข้มๆ แบบนี้ คือดีมาก

เจ้าของร้านน่ารัก เป็นกันเอง ก่อนออกจากร้านยังแนะนำให้เราไปซื้อหน้ากากธงฟ้า ที่ร้านเกาะกูดฟาร์มาซี ไปอี๊ก โอ้ยยย เลิฟมาก ไปเกาะกูดจะไปอุดหนุนอีกแน่นอนค่ะ 555


Koh Kood resort

เอาล่ะค่ะ กินอิ่มแล้ว เราก็ไปลุยถ่ายรูปกันต่อกับอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของเกาะกูด ที่เป็นสะพานไม้ทอดยาวลงไปในทะเล นั่นก็คือที่ Koh Kood resort หาดบางเบ้า นั่นเอง

ขอบอกว่าแดดช่วงบ่ายสองนี่คือทรมานผิวมากๆ ทั้งแสบทั้งดำจริงๆ แต่ต้องยอมเพื่อแลกกับรูปสวยๆ ดูจากแผ่นหลังได้ ว่าเริ่มไหม้แล้ว


ชิงช้ากลางน้ำ To the sea resort

ใกล้ๆ กันกับ Koh Kood resort คือ To the sea resort ซึ่งสามารถเดินหากันได้จะมี ชิงช้าในน้ำที่คนนิยมมาอย่างมาก มาถึงขนาดนี้แล้วมีเหรอที่เราจะยอมพลาด เดินลุยน้ำทะเลเพื่อไปถ่ายรูปสวยๆกันค่ะ 55 ไม่มีคนมาถ่ายเลย คือโล่งมากกกก เที่ยววันธรรมดาดีแบบนี้นี่เอง รึเพราะโควิด อันนี้ก็ยังสงสัย -.,-'


หาดคลองหิน

เนื่องจากเราไปช่วงบ่าย รูปที่ได้เลยเป็นรูปย้อนแสง และดูจากเวลาจะบ่ายสามแล้ว เราเลยเลือกไปหาดสุดท้ายชื่อว่าหาดคลองหิน ซึ่งอยู่ทางเดียวกับจามเฮาส์ รีสอร์ทเลยค่ะ

และนี่คือเบื้องหลังว่าทำไมถึงถ่ายภาพมุมสูงที่ห้องพักได้ โดยไม่ใช้โดรน 555

จะบ่ายสี่แล้ว เราเลยเลือกกลับรีสอร์ทไปคืนรถมอเตอร์ไซค์แล้วไปเก็บภาพบรรยากาศในรีสอร์ทและหน้าหาดแทน ก่อนจะดินเนอร์ที่โรงแรมคืนนี้ค่ะ

หน้าหาดของรีสอร์ทคลื่นแรงค่ะ พายเรือคายัคไม่ไหว 55

ถ่ายมุมสูงกันบ้าง

ย้ายกลับมาแช่น้ำในอ่างกันบ้าง อย่างที่บอกไม่รู้ทำไมน้ำอุ่นถึงใช้ไม่ได้ ก็เลยแช่มันทั้งน้ำเย็นๆ เลยค่ะ 55

เนื่องจากเราคืนรถมอเตอร์ไซค์ไปตั้งแต่ช่วงเย็นแล้ว คืนนี้เราเลยเลือก Dinner ที่ห้องอาหาร Bombyx beach bar ของทาง Cham's house resort กันค่ะ


Bombyx beach bar ของ Cham's house resort

สำหรับเมนูที่เราตั้งใจกินที่นี่คือ Pizza 🍕🍕

จะเลือกหน้าเดียวทั้งถาด หรือเลือกครึ่งๆก็ได้ เราเลือกครึ่งนึงเป็น Four cheese อีกครึ่งเป็น sea food

อีกหนึ่งเมนูคือ สปาเก็ตตี้ขี้เมาทะเล เรา request ขอเผ็ดๆ ไปค่ะ 55

แซ่บอยู่นะคะ เผ็ดจริง แต่เป็นเผ็ดแบบติดหวาน เราเลยขอน้ำปลามาเติมอีกนิด สรุปว่าอร่อยเลยค่ะพอเติมน้ำปลา ส่วนฟิซซ่าบางกรอบ อร่อยมากค่ะ ส่วนน้ำดื่ม เราสั่งเป็นน้ำธรรมดา ทางห้องอาหารไม่มีน้ำดื่มฟรีนะคะ 

ส่วนราคาก็สมน้ำสมเนื้อกับรีสอร์ท มี vat และ service charge มื้อนี้หมดไป 700-800 บาท จำราคาแน่นอนไม่ได้


วันที่สี่ : 17 มีนาคม

วันนี้เราตื่นมาเก็บเสื้อผ้า จัดของ แล้วไปทานข้าวเช้าที่เดิม ลืมบอกไปว่าเมื่อคืนมีจดหมายจากทางโรงแรมมาเสียบไว้ที่ประตูด้วยว่า ให้ทำกระเป๋าเดินทางมาวางไว้ที่หน้าห้อง แล้วช่วง 9.20 น.จะมีพนักงานมายกกระเป๋าไปให้ที่ Lobby คือบริการดีมากๆๆ ส่วนเวลา check out คือ 9.30 น. 

จากนั้นจะมีรถมารับเราไปขึ้นเรือเพื่อเดินทางกลับ แต่ขากลับ SuperJet มีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย ให้เรากลับด้วย Speed boat แทน น่าจะเป็นเพราะว่าคนน้อยถ้าใช้เรือใหญ่น่าจะไม่คุ้มค่าน้ำมัน โดยรวมการมาเที่ยวครั้งนี้บอกเลยค่ะว่าชอบและประทับใจมากๆ ถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาเกาะกูดอีกแน่นอน 🧡🧡

สิ่งที่เราอยากแนะนำ