สวัสดีครับ วันนี้จะมารีวิวร้านอาหาร2ร้านครับ ประกอบด้วย ร้านกิติพานิช(จังหวัดเชียงใหม่) เเละร้านโต๊ะเเดง(จังหวัดภูเก็ต) วึ่งทั้ง2ร้านเกิดจากการดัดแปลงอาคารโบราณมาทำเป็นร้านอาหาร ผมเห็นว่าร้านสวยเเละมีประวัติที่น่าสนใจ (เเละใช่! อาหารอร่อยมาก)เลยอยากมาเเชร์ไว้เป็นข้อมูลครับ
กิติพานิช
เริ่มร้านเเรกกันที่ กิติพานิชครับ ใครที่เคยนั่งรถผ่านถนนทท่าเเพตรงไปสะพานนวรัฐจะเห็นอาคารโบราณสีเหลืองที่มีหน้าจั่วไม้เเกะสลักสวยมากอยู่อาคารหนึ่ง เมื่อปลายปีที่เเล้วอาคารนี้ได้รับการปรับปรุงเเละเปิดเป็นร้านอาหารชื่อร้านกิติพานิชครับ
(ภาพจากเวปไวต์ The Cloud)
ถ้าย้อนไปดูประวัติความเป็นมาจะพบว่าอาคารนี้มีอายุราว130 ปี เป็นสมบัติของตระกูลกิติบุตร โดยเเรกเริ่มเดิมทีอาคารนี้ถุกสร้างให้เป็นห้างสรรพสินค้าชื่อ กิติพานิช จำหน่ายสินค้าLuxury จำพวกเสื้อผ้า น้ำหอม เครื่องเเก้วเจียระไน กลุ่มลูกค้าจะเป็นเหล่าบรรดาชนชั้นสูงเเละข้าราชการมาอุดหนุน ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นสถานเสริมความงาม Maison Dara ต่อมาเปลี่ยนเป็นคลินิกชื่อ คลินิกดารา ก่อนที่จะเป็นร้านหนังสือซินกีง้วน เเละล่าสุดคือเป็นร้านอาหารชื่อ "กิติพานิช" ในปัจจุบัน
ตัวอาคารจะเป็นอาคารอิฐผสมไม้ โดยตามบทความที่ผมได้อ่าน (สามารถอ่านเเบบละเอียดได้จากLink นี้ครับ https://readthecloud.co/kitipanit-store-kiti-panit-restaurant-chiang-mai/) จะพบว่ารูปแบบสถาปัตยกรรมจะเป็นเเบบลูกผสม มีกลิ่นอายอาคารพม่าโดยดูจากการซ้อนชั้นของหลังคาเเละมีจั่วประธานเเละจั่วบริวาร โดยคาดว่าน่าจะเกิดจากในยุคนั้นชาวอังกฤษได้เกณฑ์เเรงงานจากพม่ามาสัมปทานป่าไม้ เหล่าช่างฝีมือก็ถูกเกณฑ์มาด้วย ตอนที่ผมไปได้เจอหุ้นส่วนของร้านพอดี ทางเขาได้พาเดินชมร้านรวมทั้งอธิบายขั้นตอนการบูรณะซ่อมเเชม ถือว่าต้องมีใจรักจริงๆ เพราะขั้นตอนละเอียดละออมาก เรียกได้ว่าไปร้านนี้เเค่ดูตัวอาคารประวัติศาสตร์ก็คุ้มเเล้ว
ส่วนของร้านอาหาร ช่วงที่ผมไปเปิดเพียงชั้นล่าง เเต่ปัจจุบันเหมือนจะเปิดให้บริการชั้นบนด้วยสำหรับมื้อค่ำที่เป็นเบบ full course ในส่วนของชั้นล่างได้รับการตกเเต่งด้วยของดั้งเดิมของที่นี่ เมื่อเดินชมตามตู้โชว์เเละผนังจะเห็นอุปกรร์ ข้าวของเครื่องใช้เดิมที่เคยถูกใช้ที่อาคารนี้มาก่อน
บางมุมจะมีภาพในอดีตของเมืองเชียงใหม่ เเละป้ายร้านในยุคที่อาคารเเห่งนี้ถุกใช้เป็นสถานเสริมความงาม
สำหรับอาหารที่เสิร์ฟที่ร้านจะเป็นอาหารล้านนาประยุกต์ ตอนผมไปผมได้ทาน ไก่ทอดมะเเขว่น ยำผักชีไก่ย่าง เเละข้าวเม่าก้อนราดกะทิ ซึ่งทั้ง3เมนูร้านทำออกมาได้ดีมาก ไก่ทอดมะเเขว่นทอดมากรอบ ไม่อมน้ำมันเเถมหอมสมุนไพร
ยำผักชีไก่ย่าง ยำกลมกล่อม ไม่เหม็นผักชี เเถมไก่ชุ่มช่ำไม่กระด้างดีครับ (ปล.ข้าวเหนียวนุมอร่อยครับ)
ข้าวเม่าก้อนราดกะทิ ตอนเเรกตั้งใจจะข้ามของหวาน เเต่พนักงานชียมาก เลยขอลอง ซึ่งไม่ผิดหวังครับ เนื้อขนมเหนียวนุ่มราดน้ำกะทุเค็มอ่อนๆ เข้ากันมาก
สรุปคือเป็นร้านที่สวย อาหารอร่อยมากกกกก เหมือนได้ทั้งอาหารตา อาหารปาก เเละอาหารสมองในคราวเดียวกันครับ
โต๊ะเเดง
จากเชียงใหม่ ข้ามมาภูเก็ตบ้าง สำหรับร้านอาหารโต๊ะเเดงนี้เกิดจากผมนั่งหาร้านอาหารใกล้ๆ รร เเล้วเจอร้านอาหารโต๊ะเเดง ซึ่งเป็นร้านอาหารของ รร บ้านอาจ้อ เลยขอมาลองทานเสียหน่อย สำหรับ รร บ้านอาจ้อ เดิมเป็นบ้านพักต่างอากาศของนายเหมืองตระกูลหงษ์หยก ซึ่งเป็นเจ้าสัวที่ทำธุรกิจหลายอย่างในภูเก็ต
เนื่องจากที่นี่เปิดให้ชมภายในบ้านได้(มีค่าใช้จ่าย100 โดยจะนำไปสมทบทุนการศึกษา) ตอนผมไปทางเจ้าของบ้านจะเป็นคนพาเดินชมพร้อมอธิบายเกร็ดความรู้ส่วนต่างๆของบ้าน
เมื่อเข้าไปจะเจอโถงใหญ่กลางบ้าน สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของโถงนี้คงหนีไม่พ้นงานเพนท์ดอกโบตั๋นซึ่งได้ศิลปินชาวรัสเซียมาเพนท์ให้ เจ้าของเล่าให้ฟังว่าเดิมบ้านถูกปิดทิ้งร้างไว้ราว 40 ปี พอตัดสินใจจะปรับปรุง สิ่งเเรกที่ทำคือให้ศิลปินมาเพนท์ผนัง ซึ่งตอนมาเพนท์ เธอมาอยู่อาศัยที่นี่ทั้งที่ไม่มีไฟ ใช้วิธีกางเตนท์ในบ้านอยู่กับเเมว1ตัว (เธอชอบทำงานเพนท์ช่วงดึกๆ) ฟังสตอรี่เเล้ว ศิลปินนี่ศิลปินจริงๆ
ถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นว่าเกสรดอกโบตั๋นจะเป็นรูปผู้หญิงมวดผมล้อมด้วยหัวใจ9ดวง สื่อถึงนายหญิง(อาจ้อ aka.ย่าทวด)ที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้
ทางเจ้าของเล่าให้ฟังว่าในอดีตทางภูเก็ตจะนิยมสร้างบ้านตากอากาศเอาไว้ เเล้วช่วงฤดูหนาวจะมาพักกันที่นี่ บางทีมีเต่ามาวางไข่ก็ไปเดินดูไข่เต่าได้ (ที่นี่อยู่ใกล้กับหาดไม้ขาวครับ) โดยในช่วงสงครามโลก เจ้าสัวก็พาลูกน้องมาหลบอยู่ที่นี่เเละปลูกเผือกปลูกมันกินกันยามยาก ซึ่งในปัจจุบันทางบ้านอาจ้อก็ได้พัฒนาเป็นเเปลงเกษตร
บริเวณชั้นล่างจะเเบ่งเป็น2 ปีกด้วยกัน ฝั่งหนึ่งจะเป็นโถงเเสดงข้าวของเครื่องใช้รวมถึงของสะสมของทายาท เเละผนังเเขวนภาพในอดีตของตระกูลหงษ์หยก
อีกส่วนจะเป็นโถงเปียโนพร้อมภาพอาจ้อชายเเละหยิง ต้นตระกูลหงษ์หยก
ติดกับโถงเปียโนจะเป็นห้องนอนของเจ้าบ้านซึ่งปัจจุบันเเปลงเป็นห้องพักเเขก จะเห็นว่าห้องมีขนาดไม่ใหย่มากเพราะในอดีตห้องนอนจะใช้นอนอย่างเดียว เลยไม่มีเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่นมากมาย
อีกฝั่งของอาคารจะเป็นพื้นที่ทำงาน ตรงผนังเเขวนตั๋วขึ้นเงินลอตเตอรี่รางวัลที่1ของเมื่อ 50 ปีที่เเล้ว
ติดกันจะเป็นห้องฝิ่น(ในอดีตฝิ่นเป้นเหมือนกิจกรรมสันทนาการ อารมณ์ประมาณสูบซิการ์)
บริเวณชั้น2 จะเป็นโถงกว้าง ปลายโถงจะเป็นระเบียงยื่นออกไป วึ่งจะเป็นจุดที่อาจ้อใช้ยืนสั่งการบรรดาลูกน้อง
เมื่อออกมายืนที่ระเบียงจะเห็นวิวเป็นบึงน้ำขนาดเล็ก
ที่ชั้น2 ก็จะมีห้องพักเเขก ซึ่งจะคล้ายกับชั้นล่างคือมีขนาดไม่ใหญ่มาก โดยทางบ้านอาจ้อได้ต่อเติมอาคารไปด้านหลังเพื่อทำเป็นห้องน้ำส่วนตัวของเเต่ละยูนิต
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีร้านขายของเล็กๆตั้งอยู่ปีกหนึ่งของอาคารด้วย
จากชั้นสองเมื่อเดินขึ้นชั้น3 จะเจอโถงเล็กๆซึ่งมีภาพเขียนเเละหิ้งพระ หลังหิ้งพระเจ้าของเล่าว่ามีรังผึ้งซึ่งอยุ่กับบ้านหลังนี้มานาน เเละไม่เคยมีเหตุคนในบ้านถูกผึ้งต่อยเลย
สำหรับชั้น3จะมีห้องพัก1 ห้อง โดยเฟอร์นิเจอร์รวมทั้งเตียงจะเป็นของโบราณนำเข้ามาจากยุโรปตั้งเเต่สมัยสร้างบ้าน
ถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นว่าทุกห้อง สิลปินจะเพนต์ผนังไว้เป็นกิมมิคเล็กๆ น่ารักดีครับ
จบจากการชมบ้านก็เดินออกเพื่อไปทานอาหารกันดีกว่า วึ่งร้านอาหารของบ้านอาจ้อชื่อร้านโต๊ะเเดง เป็นอาคารชั้นเดียวตั้งอยู่ด้านซ้ายมือของบ้าน
ภายในร้านก้จะมีโต๊ะเเดงตามชื่อร้านเลยครับ ตัวร้านมีขนาดไม่ใหญ่มาก ใครอยากมาทาน เเละนำให้สำรองที่นั่งครับ เพราะตอนผมไปคนเยอะอยู่ครับ
ร้านบรรยากาศดีทีเดียว ถ้ามาช่วงเย็นคงrelaxมาก เห็นทางเจ้าของบอกว่าบางวันมีLive band มาเล่นด้วย
ผมสั่งข้าวผัดกุ้งกับหมูฮ้องเเละโรตีมาทานครับ ตอนเเรกกะกินรวมๆกันเเต่พอมาเสิร์ฟพบว่าอาหารportionใหญ่มาก
ตัวข้าวผัดอร่อยมากครับ ข้าวหอมกลิ่นไหม้ของกะทะนิดๆ เม้ดร่วนเเละกุ้งกรอบ ไม่สุกจนเกินไป
ส่วนโรตีหมูฮ้องก้อร่อย เนื้อหมูนุ่มรสเข้มข้นทานกับโรตีเเล้วเข้ากันดี ไม่เลี่ยนไม่มันอย่างที่คิด ผมทานบางส่วนเเล้วที่เหลือห่อมาทานที่ กทม เเช่เย็นเเล้วมาทานอีกวันก้ยังอร่อยอยู่เลยครับ
สรุป เป็นร้านที่เเนะนำมากๆครับ รสชาติอาหารอร่อย บรรยากาศดี เเถมมีสตอรี่ของสถานที่ให้ศึกษาด้วยครับ